วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

มัทนะพาธาองค์ 3

องก์ที่ ๓
ฉาก : ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน
คือฉากเดียวกันกับตอนที่ ๓ แห่งองก์ที่ ๒ นั่นเอง,แต่หนังกวางที่ปูบนแท่นศิลาใต้ต้นไม้นั่นเก็บไปเสีย ; และสมมติว่าเป็นเวลากลางคืน, มีแสงเดือนหงายแจ่มอย่างในวันเพ็ญ.

ท้าวชัยเสนออกทางหลืบซ้าย.
อินทะวิเชียร, ๑๑.
ชัยเสน.                        โอ้โอ๋กระไรเลย             บมิเคยณก่อนกาล !
พอเห็นก็ทราบซ่าน                  ฤดิรักบหักหาย
ยิ่งยลวะนิดา                          ละก็ยิ่งจะรัอนคล้าย
เพลิงรุมประชุมภาย                ณอุราบลาลด
พิศไหนบมีทราม                     วะธุงามสง่าหมด
จนสุดจะหาพจน์                     สรเสริญเสมอใจ
องค์วิศวะกรรมัน                     นะสิปั้นวะธูไซร้
พอเสร็จก็เทพไท                     พิศะรูปสุรางค์เพลิน
ยืนเพ่งและนั่งพิศ                    วรพักตร์บหมางเมิน
งามใดบงามเกิน                     มะทะนาณโลกสาม
แลวิศวะกรรมัน                       ผิจะปั้นวะธูตาม
แบบอีกก็ไม่งาม                      ดุจะโฉมอนงค์นี้
เหตุนี้สินงคราญ                     ณสถานพิภพตรี
จึ่งไม่ประสบที่                        สิริรูปะเทียมทัน
งามเกินมนุษย์จริง                   กละหญิงนิมิตฝัน
จนแรกประสบนั้น                   ดนุจวนจะปลุกตัว
นึกว่าสนิทนิทร์                       นยนาก็แน่วนัว
แต่นึกก็ออกกลัว                     จะผวาและไม่เห็น
ครั้นเมื่อสดับศัพ-                    ทะสำเนียงก็เยือกเย็น
ราวดื่มอุทกเพ็ญ                     รสะรื่นระรวยใจ
เสียงเจ้าสิเพรากว่า                 ดุริยางคะดีดใน
ฟากฟ้าสุราลัย                       สุรศัพทะเริงรมย์
ยามเดินบเขินขัด,                กละนัจจะน่าชม
กรายกรก็เร้ารม-                     ยะประหนึ่งระบำสวย
ยามนั่งก็นั่งเรียบ                     และระเบียบบเขินขวย
แขนอ่อนฤเปรียบด้วย             ธนุก่งกระชับไว้
พิศโฉมและฟังเสียง                ละก็เพียงจะขาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหล                  ฤฉะนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร้อนเร่า                     ฤดีเฝ้าคะนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉย                  อุระอาจจะพังภิน
จำมาณที่นี้                             เพราะว่ะใกล้สุนาริน
โอ้เราบสมจิน-                         ตะนะได้ฤฉันใด
ช้าก่อน!ดนูเห็น                       ณประตูสิรำไร
ดังหนึ่งจะมีใคร                       จระจากพระอาศรม
อ้าขอถวายอัญ                       ชลิองค์สุโรดม
ขอให้ดนูชม                            วธุเลิศเถอะสักที
ท้าวชัยเสนเลี่ยงเข้าไปแฝงอยูหลังกอไม้ข้างซ้าย มัทนาเดินออกมาจากอาศรมและมายืนพงเสาระเบียง, มองดูดวงเดือน.
อินทวงส์, ๑๒.
มัทนา.              โอ้ว่าอนาถใจ               ละไฉนนะเป็นฉะนี้
แต่ไรก็ไม่มี                              มะนะนึกระเหระหน
ไม่เคยจะเชื่อว่า                       ระตินั้นจะสัปดน
มาสู่ณใจตน                           และจะต้องระทมระทวย
เมื่อก่อนสิชายรัก                     ก็มิพักจะเออจะอวย
อวดดีและอวดด้วย                  บมิเคยจะลุ่มจะหลง
ทั้งเคยเยาะเย้ยหยัน                นระผู้พะว้าพะวง
ว่าเขานะเขลาคง                     จะบพ้นระอิดระอา
เคยว่าบุรุษกล่าว                     วจะลวงยุพาและพา
ไปร่วมสิเนหา                          บมิช้าก็ทอดก็ทิ้ง
ดังนั้นสิแม้ชาย                        อภิปรายและอ้อยและอิ่ง
เราจึ่งมิสุงสิง                          และบรักสมัครสมาน
คราวนี้สิพบชาย                      วรรูปวิเศษวิศาล
ใจวาบและหวามปาน              ฤดินั้นจะโลดจะลอย 
เธอนั้นฤเจียมตัว                      กิริยาก็เรียบก็ร้อย
ไม่มีละสักน้อย                         จะแสดงณท่วงณที
ว่าเธอประสงค์จะ                     อภิรมย์ฤดีระตี
เป็นแต่ชำเลืองที่                      ดนุบางณครั้งณคราว
คราใดประสบเนตร                  ฤก็เราละร้อนและหนาว
เธอไกลก็ดูราว                        นภะไร้ตะวันและเดือน
โอ้ว่าณครานี้                          แหละฤดีจะฟั่นจะเฟือน
ด้วยรักกระทำเชือน                 ละฉะนี้จะทำไฉน
สาลินี, ๑๑.
ชัยเสน.                        (พูดปรารภ.)
ฟังคําที่หล่อนบ่น                     ก็กะมลบ่มั่นได้
ว่าคำที่พูดไซร้                         วธุม่งณตัวเรา
หากเรานี้หาญตอบ                  ผิวะขัดฤดีเจ้า
โฉมยงคงรีบเข้า                       ณพระบรรณะศาลา
คอยฟังเผื่อพูดอีก                    เถอะนะเห็นจะดีกว่า
เพียงฟังเจ้าแก้วตา                  ก็ระรื่นระเริงใจ !
มัทนา.              (ยังไม่เห็นท้าวชัยเสน, พูดคนเดียว.)
โอ้นึกขึ้นมาเเล้ว                       ละก็แทบจะร้องไห้
พอหมดคืนนี้ไซร้                       ก็จะชวดละโอกาส
เออทำฉันใดดี                          นะจะให้พระทรงราชย์
อยู่ต่อไม่ลีลาศ                         จระจากณที่นี้
หากว่าไม่ได้เป็น                       ยุวะพรหมะจารี
คงกล้าแลพาที                         พจะทูลพระภูธร
ให้คงแรมอยู่อีก                       ณประเทศะนี้ก่อน
แลหากว่าทูลวอน                     พระก็อาจะเดารู้
ว่าเรานี่ภักดี                            และก็คงจะเอ็นดู
ตัวเราจักได้อยู่                        ปฎิบัติพระบาทา
โอ้อยากให้ท่านรู้                     ณฤดีดนูนา 
อยู่ก่อนเถิดราชา !
ชัยเสน.                        (พูดตอบคำของมัทนา.)                       ดนุเองก็เต็มใจ !
อยากอยู่เพื่อชมโฉม                 ยุวะดีมณีมัย
ผู้เป็นเจ้าของใจ.
มัทนา.                                   เอ๊ะ ก็ใครนะพาที
มาจากในที่มืด                        มละแฝง ณ แห่งนี้ 
ชัยเสน.                        ข้าเองซึ่งหล่อนมี                      มะนะมุ่งจะให้ยั้ง
                         
(เดินออกจากที่แฝงมายืนหน้าอาศรม.)
มัทนา.              อ้าจอมมงกุฎเกล้า                  ก็กระไรพระมาบัง
พุ่มไม่แลทรงฟัง                       วะจะของกระหม่อมฉัน
ผู้บ่นดังคนเพ้อ                        และมะเมอประหนึ่งฝัน
ไม่ควรสมเด็จธรร-                    มิกะราชจะทรงยิน
ชัยเสน.                        ยินเเล้วข้าชื่นจิต                      ดุจะหล่อนและให้กิน
น้ำทิพย์ที่ควรจิน-                     ตะนะแท้นะนงคราญ
มัทนา.              หากว่าหม่อมฉันทราบ             พระเสด็จณหน้าศาล
ปากคงไม่อาจหาญ                  เพราะก็ย่อมจะมีอาย
อันหญิงย่อมไม่อยาก               จะกระทำประดุจขาย
ความรักให้แก่ชาย                   เพราะว่ะเกรงจะดูแคลน
อันชื่อของหม่อมฉัน                  ฤก็สุดจะหวงแหน
เกลียดหญ่งที่แปร๋แปร้น            กละชวนบุรุษชม
ครานี้พันเอินองค์                      อธิราชนะโรดม
ทรงยินคำปรารม-                      ภะเเละบ่นณราตรี
คงทรงนึกอยู่ว่า                         ดนุทรามและสิ้นดี
ราวนางโสเภณี                          บมิเขินมิขวยใจ
แล้วคงทรงดูถูก                         ดนุนี้ละยิ่งใหญ่
ว่าเป็นผู้หญิงไร้                         คุณะธรรมะอันควร
หม่อมฉันขอทูลลา                     นรนาถบดีศวร
ยิ่งอยู่คงยิ่งกวน                         วรบาทพระภูธร
อุปัฏฐิตา, ๑๑.
ชัยเสน.                        อ้าโฉมมะทะนา                       บริสุทธิบังอร
ข้าฤๅจะติหล่อน                       เพราะสดับวจีหวาน 
ชื่นจิตตะสดับ                          มธุรสฤดีบาน
ทราบว่ายุวะมาลย์                   กรุณาณข้านี้
พอเห็นวรพักตร์                        วนิดาวะรางคี
บัดนั้นฤก็มี                             ฤดิท่วมสิเนหา
เหมือนโฉมดะรุณี                    นะแหละยื่นสุหัตถ์มา
ล้วงใจดนุคร่า                         และกระลึงหทัยไว้
แต่นั้นก็อนงค์                         นะสิยังบคืนให้
กำดวงฤดิใน                          วรหัตถะแน่นครัน 
หากนางบมิชอบ                    และจะคืนหะทัยนิ้น
ข้านี้ก็จะศัล-                          ยะพิลาปพิไรวอน
ขอให้วนิดา                            กรุณาดะนูก่อน
อย่าเพ่อสละรอน                    ระติราญสุไมตรี
ถึงหล่อนจะมิรัก                     ก็จะขอกะโฉมศรี
ให้ยอมดนุมี                           ฤดิรักพะธูไป
จนกว่าจะประจัก-                   ษณะจิตตะหล่อนไซรั
แล้วยกฤดิให้                          ดนุผู้พยายาม
อ้าโฉมมะทะนา                      ผิวะหล่อนจะยอมตาม
ใจพี่ละก็ความ                        สุขะพี่จะพูนพี
แต่หากมะทะนา                     บมิรักก็พี่นี้
เหมือนตกอะวิจี                      ทุขะท่วมบรู้วาย
(ภุชงสัปปะยาตร์, ๑๒.)
มัทนา.              กระหม่อมฉันสดับคำ               ดำรัสแห่งพระฦๅสาย
ประณตนอบระยอบกาย         และกราบแทบพระบาทา
ก็รสใดจะหวานแม้น               สุรสแห่งพระวาจา
กระแสทราบณทรวงข้า           พระบาทปลื้มบลืมรส
และรู้สึกพระการุณ-                ยะภาพแห่งพระทรงยศ
จะฝังใจบไดัลด                      ฤลืมจนณวันมรณ์
ก็แต่ว่ากระหม่อมฉัน              ฤเป็นชาวพะนาดร
จะเทียบชาวนครค่อน              จะเสียเปรียบบ่ควรหวัง
สนมนางกำนันใน                   สถิตแทบณเวียงวัง
ฉวีนวลสะกาวปลั่ง                  ประดับแก้ววราภา
และรู้จักบำเรอครบ                 ประจบองค์พระราชา
กระหม่อมฉันสิชาวป่า            จะสู้เขาบไดัแท้
ชัยเสน.                        อ๊ะ จริงจริงนะแก้วตา               ดนุนี้บอยากแล
ฤเชยนาริอื่นเเม้                      กนิษฐาประนอมรัก
เพราะนารีณวังใน                   บมีใครจะงามพักตร์
ฤงามรูปวิไลยลักษณ์               เสมอเจ้าบพึงมี
คณานางสนมเปรียบ               ประหนึ่งกาและถ่อยที
วธูยอดฤดีพี่                            ประหนึ่งหงส์สุพรรณ์พรรณ
ก็พี่นี้สิเคยชม                          วิหคหงสะเลอสรรค์
จะกลับชมอิกานั้น                   บได้แล้วนะแก้วตา
มัทนา.              กระหม่อมฉันก็เคยทราบ                     สุภาษิตบุราณว่า
บุรุษยามสิเนหา                       ก็พูดได้ละหลายลิ้น
ประจบนางและพลางกอด        พะนอพลอดและปลอดปลิ้น
และหลอกเยาวะนาริน.
ชัยเสน.                                    ผิลิ้นพี่จะมีหลาย
ก็ทุกลิ้นจะรุมกล่าว                   แสดงรักณโฉมฉาย
และทุกลิ้นจะเปรยปราย            ประกาศถ้อยปะฏิญญา
พะจีว่าจะรักยืด                         บจางจืดสิเนหา
สบถให้ละต่อหน้า                      พระจันทร์แจ่มณเวหน
มัทนา.              พระกล่าวอ้างพระจันทร์นี้                    ชะรอยทีมิชอบกล
ชัยเสน.                                     เพราะเหตุใดละหน้ามน
มัทนา.                                      เพราะเดือนนั้นมิมั่นคง
ณข้างขึ้นสิหงายแจ่ม                 กระจ่างสดและกลดทรง,
ณ ข้างแรมบเห็นองค์                  พระจันทร์เจ้าณราตรี !
ชัยเสน.                        ฉะนั้นขอสบถต่อ                     สุดาราจำรัสศรี
วะแวววับระยับที่                     นภากาศพะแพรวพราย
มัทนา.              ก็เห็นว่ามิชอบกล                     ละอีกแล้วพระฦๅสาย
เพราะเมื่อใดพระจันทร์ฉาย                 ก็ขับดาวละลายไป
ชัยเสน.                        ฉะนั้นเจ้าจะให้พี่                     สบถโดยสุเทพใด
มัทนา.              ก็หากทรงประทานให้              กระหม่อมฉันนะเลือกสรร
จะขอให้พระสาบาน                ณองค์เทวะเทวัญ
พระองค์ใดก็ไม่มั่น                   ฤดีเท่าพระจอมเกศ
พระองค์ทูลกระหม่อมแก้ว       ก็สมมตสุเทเวศร์
ฉะนั้นแม้พระทรงเดช               ดำรัสคำปฏิญญา
กระหม่อมฉันก็จงรัก                และภักดีและเป็นข้า
ไฉนเล่าจะสงกา 
ชัยเสน.                                    ฉะนั้นพี่ก็ยินดี 
                         
ท้าวชัยเสนไปจูงมือมัทนาจากระเบียงและจูงมากลางเวที.
โตฎก, ๑๒.
มะทะนาดนุรัก             วรยอดยุพะดี
และจะรักบมิมี             ฤดิหน่ายฤระอา
ผิวะอายุจะยืน             ศะตะพรรษะฤกว่า
ก็จะรักมะทะนา           บมิหย่อนฤดิหรรษ์
นยะนาก็จะชม             วธุต่างมะณิพรรณ
และจะสูดสุวะคันธ์      ระสะต่างสุผะกา
ผิวะตื่นก็จะดู               ยุวะดีสิริมา
ผิวะหลับฤก็ข้า             จะสุบินฤดิเพลิน
ทิวะราตริจะนอน,       ฤจะนั่งฤจะเดิน
บมิมีละจะเหิน             ฤจะห่างมะทะนา
บมิเห็นวรพักตร์           ก็จะหนักอุระว้า
ขณะเคียงพะนิดา        ก็ระรื่นฤดิศานต์
ผิวะเจ้าก็สมัคร             และจะรักดนุนาน
จระสู่อุทะธาร              เถอะนะเราก็จะวัก
อุทะกล่าวสุประทาน    เฉพาะเทพสุรศักดิ์
และฉะนั้นละก็จัก       ดุจะหมั้นจะวิวาห์
มัทนา.              ผิพระโปรดละก็ข้อย                บมิขัดวะจะนา
และจะตามพระลิลา    จระทั่วปะฐะพี
                         
บัดนื้สมมติว่าเริ่มจะรุ่ง,ฉะนั้นให้มีแสงแดงขื้นที่ท้องฟ้า, แล้วคอยเปิดไฟขาวมากขึ้นทีละน้อย ๆ ระหว่างเวลาที่สองคนพูดกันต่อไปนื้.
อีทิสะ, ๒๐.
ชัยเสน.                        อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจี              ประดุจมโนภิรมย์ระตี
ณแรกรัก 
แสงอรุณวิโรจน์นภาประจักษ์              แฉล้มเฉลาและโศภินัก
นะฉันใด
หญิงและชายณยามระตีอุทัย              สว่างณกลางกมลละไม
ก็ฉันนั้น
แสงอุษาสะกาวพะพราวณสรรค์         ก็เหมือนระตีวสุทธิอัน
สว่างจิต !
อ้าอนงคะเชิญดำเนินสนิท                   ณข้างดนูประดุจสุมิตร
มโนมาน
ไปกระทั่งณฝั่งอุทกอะจีระธาร             และเปล่งพะจีณสัจจะการ
ประกาศหมั้น
ต่อพระพักตร์สุราภิรักษะอัน                เสด็จสถิตณเขตอะรัณ-
ยะนี่ไซร้
ว่าดนูและน้องจะเคียงคระไล              และครองตลอดณอายุขัย
บ่คลาดคลา
มัทนา.  สูรยะส่องสว่างณกลางนภา    ก็พลอยสว่างณภูมิหล้า
แหละฉันใด,
อันพระโปรดก็จิตตะข้าก็ได้                 สว่างกระจ่างและสดและใส
ณ บัด นี้
ข้าพระบาทจะสุขสราญฤดี                  ก็ย่อมจะโดยพระบารมี
ธปกเกล้า
พึ่งพระคุณกะรุณยะค่ำและเช้า            จะปราศะโศกบมีณเศร้า
ฤทุกขํ
ใจจะอิ่มจะเอมเพราะเปรมปริยํ            และรื่นณรสระตีจรํ
ระรวยใจ
ทูลกระหม่อมเสด็จณเทศะใด               ก็ข้าพระบาทจะตามธไป
พระเจ้าข้า 
                         
ท้าวชัยเสนกับมัทนาจูงมือเดินเข้าโรงทางหลืบซ้าย.
บัดนื้สว่างแจ้งแล้วเวทีว่างอยู่สักครู่ ๑. เสียงไก่ขันและนกร้องในโรง แล้วมีพวกบริวารของพระกาละทรรศิน.ออกมากวาดลานหน้าอาศรม, ศุนเป็นผู้กำกับ พวกทำงาน. อีกสักครู่ ๑ นาค.จี่งออกจากทางหลืบขวา, หน้าตาตื่น.
นาค.                มันเกิดเรื่องพิกลเสียแล้วละเพื่อน.
ศุน.                  พิกลอะไร
นาค.                ต้นนั่นน่ะ.
ศุน.                  ต้นนั่นอะไร  พูดให้เหมือนคนหน่อยไม่ได้เทียวหรือ
นาค.                ต้นไมัวิเศษของท่านอาจารย์อย่างไรล่ะ.
ศุน.                  กุพชะกะ ! ขัาเพียรท่องชื่อเสียเป็นนานจึ่งจำได้.แล้วก็มันเป็นอะไรไปล่ะ
นาค.                หายไปแล้ว
ศุน.                  บัดซบ ก็วันเพ็ญต้นนั่นกลายเป็นนางนี่เพื่อน
นาค.                แกสิบัดซบ  เมื่อวานนี้ต่างหากวันเพ็ญ. วันนี้แรมค่ำ ๑.
ศุน.                  เออ,จริงแฮะ  นางควรจะกลับเป็นต้นไม้อีกแล้ว.
นาค.                ก็นั่นสิ แต่เดี๋ยวนี้ต้นไม้ไม่ได้อยู่ตามที่เคยอยู่.
ศุน.                  ข้าว่าแล้วไหมล่ะว่าต้นไม้นี่มันเป็นต้นไม้ผี. ถ้าเปิดกลับไปอยู่ป่าเสียอีกละก็จะทำความลำบากกับพวกเราอีกละนะ
นาค.                จริง ข้าก็ต้องถูกขนาบแย่เท่านั้น.
ศุน.                  แน่ละ  แก่มันเป็นหน้าที่บำรุงรักษาต้นไม้นั้นอยู่ด้วย.
นาค.                จะทำอย่างไรกันดีล่ะเรา
ศุน.                  อย่ามาลากเอาข้าเข้าไปด้วยเลย. ข้าไม่ขอแบ่งโทษของแกดอก, เชื่อเถอะ.
นาค.                เอาเถอะ โทษทัณฑ์ข้ารับคนเดียวก็ได้ ขอแต่ให้ช่วยออกความคิดหน่อยเถอะ.
ศุน.                  เปิด
นาค.                เปิดอะไร
ศุน.                  เปิดหนีน่ะสิ
นาค.                หนีไปไหน
ศุน.                  อนิจจํอนิจจา  หนีไปไหนก็ต้องถามด้วย ดงออกกว้างขวาง จะหนีไม่พ้นเทียวหรือ
นาค.                ถ้าเสือไม่กินเสียก็คงอดตายเท่านั้น ไปคนเดียวจะเอาเสบียงอาหารไปได้พอหรือ
ศุน.                  คนเอ๋ยคน เกิดมาทำไมจึงโง่เช่นนี้
นาค.                โง่อย่างไร
ศุน.                  ค่ายหลวงตั้งอยู่กับแค่จมูกแกไม่เห็นหรือ
นาค.                แล้วก็อย่างไรล่ะ
ศุน.                  ก็เราเข้าไปสามิภักดิ์กับเขาว่าจะขอตามเสด็จกลับไปกรุงด้วย เท่านั้นก็สิ้นเรื่องกัน.
นาค.                จะสิ้นเรื่องอย่างไร  เวลานี้ก็ยังไม่มีกำหนดที่จะเสด็จกลับ ฉะนั้นถึงข้าจะไปสามิภักดิ์ ก็คงยังไม่ได้ไปพ้นที่นี่
ศุน.                  แล้วกัน ก็แกเข้าไปปน  อยู่เสียในพวกทหารก็แล้วกัน แล้วก็เมื่อไรได้ยินเขาเที่ยวตามหาตัวก็แอบเสียก็ได้ ใครจะกล้าไปค้นคว้าหาแกในค่ายหลวง
นาค.                ช้าก่อน
ศุน.                  จะช้าอยู่อีกทำไม  แกนี่วอนจะถูกทำโทษหรือ
นาค.                ไม่ใช่ข้านึกอะไรขึ้นมาออกอย่างหนึ่ง. ผู้คนตามเสด็จเจ้านายมามาก บางทีจะได้มีผู้มาลักเอาต้นไม้วิเศษไปเสียละกระมัง
ศุน.                  เออ  ก็แล้วแกจะคิดอย่างไรล่ะ
นาค.                เราต้องสืบดูเค้าเงื่อนสิ
ศุน.             "เรา" อีกแล้ว ขอเสียทีเถอะ อย่าพูดแทนคนอื่นหน่อยเลย แกเป็นผู้มีหน้าที่รักษาตันไม้วิเศษ เมื่อทำต้นไม้ของท่านหาย
ก็เป็นหน้าที่ของแกที่จะสืบแสวงหาเอากลับคืนมา หรืออย่างน้อยก็สืบให้ได้ร่องรอยว่าใครเป็นผู้ร้าย.
นาค.                ก็จะไปสืบด้วยกันไม่ได้หรือ
ศุน.                  ต้องขอตัวเสียทีละเพื่อน  ข้ากลัวหัวแตก
นาค.                ทำไมจะตัองหัวแตก
ศน.                  เพราะถ้าพวกทหารได้ลักเอาไปจริง ก็คงเป็นเพราะเขาอยากได้, และถ้าเขาอยากได้เขาก็คงไม่อยากให้เราไปพบ และเอากลับคืน
เพราะฉะนั้นขืนเข้าไปสืบไปถามเขาก็คงแพ่นเอากระบาลแยะ แต่ถ้าเขาไม่ได้ลักเอาไป และเราเข้าไปสืบไปถามเขาก็คงโกรธว่าหาความร้ายใส่เขา
แล้วก็คงแพ่นเอา กระบาลแยะเหมือนกัน.
นาค.                ที่แกพูดนี่ก็ชอบกลอยู่.
ศุน.                 ชอบกลสิข้าจึ่งได้พูด; แล้วก็เพราะเห็นว่ามีแต่ท่าทางที่จะต้องหัวแตกทั้งนั้น ข้าจึ่งขอตัวไม่ไปกับแก แต่อย่าวิตก
เสียแรงเราเป็นเพื่อนกันมานาน, ถ้าแกถูกตีหัวแตกแล้วละก็กลับมาเถอะ ข้าจะคัดเลือดใหั.
นาค.               เมื่อไม่ไปด้วยกันก็ตามใจ ข้าจะต้องรีบไปเดี๋ยวนี้
ศุน.                 ช้าก่อน ! ไม่ต้องรีบร้อนไปข้างไหนละ. (ชี้ทางซ้าย.) นายทหารคนสนิทของเจ้านายกำลังเดินมานี่แล้ว. คอยพบพูดกับท่านที่นี่ก็ได้.
นาค.                จริง แล้วก็บางทีถ้าท่านใจดีก็อาจจะช่วยให้ความสะดวกแก่เราด้วย.
ศุน.                  ก็เช่นนั้นน่ะสิ ! แกนี่ถ้าไม่มีข้าคอยเป็นที่ปรึกษาคงเอาตัวไม่รอด
นาค.                เอาเถอะ ข้าไม่อยากเถียงกับแก่เวลานี้
ศุภางค์ออกทางหลืบซ้าย ศิษย์ทั้ง ๒ ตรงเข้าไปไหว้.
ศุน.                 ใต้เท้าขอรับ กระผมขอความกรุณาสักหน่อย.
ศุภางค์.           มีธุระอะไรหรือเพื่อน
ศุน.           ธุระน่ะมีอยู่ขอรับ แต่มันไม่ใช่ธุระของกระผม มันเป็นธุระของเพื่อนกระผม ดังที่เพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนเอง.
ดันหลังเพื่อนให้ออกไป
นาค.         กระผมมีความทุกข์ร้อนอยู่มาก จึ่งอยากจะขอความกรุณาต่อใต้เท้า. คือว่าบัดนี้ได้เกิดเหตุ-
ศุน.          (แย่งพูด) ขอรับ เป็นเหตุใหญ่ ทำให้เป็นที่วิตกแก่พวกกระผมมาก      ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป.
กระตุ้นหลังเพื่อน
นาค.          นั่นแหละขอรับ ตามที่ใต้เท้าได้ทราบแล้ว-เอ้อ-เอ้อ-
ศุภางค์.      ฉันจะทราบอย่างไรได้ เมื่อแกยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฉันเลยจนอย่างเดียว
ศุน.           กระผมต้องขอรับประทานอภัยแทนเพื่อนของกระผม. เขาเป็นคนที่ขี้ประหม่า และพูดจาไม่ใคร่จะเป็น
เพราะไม่ใคร่จะเคย พบเห็นคนสำคัญเช่นใต้เท้า.
ศุภางค์.     ฉันเห็นแล้วว่าแกเป็นคนที่เก่งกว่าเพื่อนแกมาก ฉะนั้นแกเล่าเรื่องให้ฉันฟังก็แล้วกัน.
ศุน.      เรื่องก็มีอยู่สั้นนิดเดียว ซึ่งเมื่อรวบรัดตัดความและสรุปหัวข้อแล้ว ก็-ก็-มีข้อสรุปดังที่เพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป
กระตุ้นหลังเพื่อนอีก.
ศุภางค์.           ใครจะเล่าก็เล่าเสียคนเถอะเพื่อน. มัวเกี่ยงกันอยู่เช่นนี้เสียเวลานัก
นาค.                คือว่าพระอาจารย์ท่านมีต้นไม้วิเศษอยู่ต้นหนึ่ง-
ศุน.                  ซึ่งชื่อกุพชะกะ ตามที่ใต้เท้าได้ทราบอย่แล้ว.
ศุภางค์.           เปล่า ฉันยังไม่ได้ทราบเลยว่าชื่ออย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะ เล่าต่อไป.
นาค.                ท่านรักต้นไมันี้มาก และปลูกไว้กลางสวนข้างอาศรม-
ศุน.                  แต่บัดนี้ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะว่า-เอ้อ-ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป.
ศุภางค์.    ถ้าแกจะมัวแต่แย่งกันพูดอยู่เช่นนี้ เห็นจะไม่มีวันได้เรื่อง เพราะฉะนั้นฉันจะขอลองสันนิษฐานเรื่องดูเอง.
ต้นไมัที่แกกล่าวถึงนี้ คือต้นที่กลายเป็นนางทุก ๆ วันเพ็ญใช่ไหม
ศุน.                  ใต้เท้ามีความปรีชาสาไถย-เอ๊ย-สามารถมาก จึ่งได้-
ศุภางค์.           พอที ! ฉันถามตรง ๆ ขอให้ตอบตรง ๆ
ศุน.                  ตอบตรง ๆ ก็คือว่าใต้เท้าทายถูกแล้ว.
ศุภางค์.           ก็แล้วอย่างไรล่ะ
นาค.                แล้วก็วันนี้แรม ๑ ค่ำแล้วขอรับ แต่-
ศุน.                  แต่ต้นไม้นั้นไม่อยู่ที่กลางสวนตามเคย,
ศุภางค.           เออ,แล้วก็จะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ
นาค.                ก็สุดแท้เเต่ใต้เท้าจะโปรดกรุณาเถอะขอรับ เพราะว่า-เออ-เออ-
ศุน.                เพราะว่าเพื่อนกระผมสงสัยว่าพวกของใต้เท้า อาจจะได้มาเอาต้นไม้นั้นไป เท่านั้นแหละขอรับ.
ศุภางค.    (หัวเราะ) ชอบกล ! ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเองก็ออกจะสงสัยอยู่ว่า พวกของฉันผู้หนึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ต้นไม้วิเศษของแกหายไป.
ศุน.          ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าคงจะกรุณาโปรดช่วยให้ได้ต้นไม้นั้นคืนมาละสิขอรับ
ศุภางค์.  อ๋อ, ฉันรับรองเช่นนั้นไม่ได้ดอกเพื่อน เพราะถ้าผู้ที่ลักต้นไม้ไปนั้นเป็นคนที่ฉันสงสัยละก็ฉันไปเอาคืนมาให้แก่ไม่ได้ดอก !
เออ, ฉันเห็นโสมะทัต.มาทางนี้แล้ว ฉันขอพูดกับเขาสักหน่อย
โสมะทัต.ออกทางหลืบขวา.
                         
ฉบงง,๑๖.
โสมะทัต.        ข้าเคารพท่านเสนา                อันตัวท่านมา
แห่งนี้ทำไมแต่ตรู่
ศุภางค์.                       เรามีธุระร้อนอยู่          มาหาท่านผู้
เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ที่นี้
โสมะทัต.                     พวกเจ้าจงหลีกไปที       เรากับเสนี
มีกิจจะพูดจากัน
                        
พวกศิษย์และบริวารเข้าโรงทางหลืบขวาทั้งหมด
บัดนี้มีข้อสำคัญ                       ใดจงบอกพลัน
เสนีมิต้องเกรงใจ
ศุภางค์.                       ท่านเคยได้เล่าเรื่องให้              ว่านางทรามวัย
ผู้เห็นอยู่เมื่อวันวาน
นั้นโดยปรกะติกาล               เป็นพฤกษะบาน
มาลีสุคนธ์หอมเย็น
และต่อเมื่อถึงวันเพ็ญ           นางจึ่งจะเป็น
นงคราญวิสุทธิ์ศรีใส
ดังนั้นถูกฤาฉันใด 
โสมะทัต.                                 ถูกเช่นนั้นไซร์
ศุภางค์.                                  แล้วก็เมื่อครบหนึ่งวัน
กับอีกหนึ่งคืนนางนั้น               ก็กลับกลายพลัน
เป็นพฤกษะอีกทันที
ถูกไหมเข้าใจเช่นนี้
โสมะทัต.                                 ถูกแล้วเสนี.
ศุภางค์.                                  เมื่อกี้พวกศิษย์บอกข้า
ว่ากุพชะกะพฤกษา                 หายไปแล้วนา
ท่านทราบเหตุแล้วฤาไฉน
โสมะทัต.                     พอตื่นแล้วบูชาไฟ                    แล้วข้าก็ไป
ยังสวนที่ข้างอาศรม
ตั้งจิตตรงไปใฝ่ชม                   กุพชะโกดม
แต่เดินไปถึงย่านกลาง
สวนนั้นก็เห็นหลุมว่าง              พฤกษาสำอาง
มิอยู่ ณ ที่เคยอยู่
ข้าเที่ยวค้นคว้าหาดู                 เผื่อจะไปอยู่
แห่งอื่นเพื่ออาศัยร่ม
ไม่พบตระหนกอกกรม             จึ่งมาอาศรม
เผื่อจะได้พบภายใน
ศุภางค์.                                 น่ากลัวป่วยการเข้าไป 
โสมะทัต.                               เอ๊ะ ! เพราะเหตุใด 
โปรดบอกให้รู้กิจจา.
ยานี , ๑๑ 
ศุภางค์.                       เมื่อดึกข้าตรวจยาม                 เมื่อย่ำสามแล้วไม่ช้า
เดินผ่านหน้าพลับพลา             เห็นคนลงจากมาฬก
ท่าทางนั้นเห็นได้                      ว่าตั้งใจจะปิดปก
แฝงกายกำบังรก                      และรีบเดินดุ่มดุ่มพลัน
ข้าเห็นก็สงสัย                          จึ่งเตรียมออกสกัดกั้น
แต่พอแสงเดือนพลัน               ส่องกระจ่างสว่างไซร้
ข้ามองไปดูหน้า                       แล้วตูข้าก็จำได้
จึ่งยอมให้ครรไล                      จากค่ายหลวงบห้ามปราม
แต่พอพ้นตรงหน้า                    อันตูข้าก็เดินตาม
เพื่อป้องกันซึ่งความ                 ประทุษฐ์อันอาจเกิดมี
โสมะทัต.                     ข้าฟังก็พอเดา              ว่าท่านเล่าถึงใครนี่
หากเป็นผู้อื่นที             ท่านคงจับเป็นแน่นอน
ศุภางค์.                       ท่านเดาคงไม่ผิด           จงตั้งจิตฟังข้าก่อน
อันผู้ที่ข้าจร                  สะกดรอยและตามมา
เมื่อถึงก็ยืนกลาง                     ระหว่างลานและเจรจา
พร่ำบ่นประหนึ่งว่า                   คนมะเมอและเพ้อฝัน !
ต่อนั้นจึ่งเห็นนาง                     ออกมาจากข้างในบรร-
ณะศาลและยืนผัน                  พักตร์ชะแง้แลดูเดือน
แล้วบ่นอยู่คนเดียว                  ดังหนึ่งจิตจะฟั่นเฟือน
ฝ่ายชายได้ฟังเพื่อน                 ก็พูดตอบพจีพลัน
แล้วต่างก็แลกรัก                     สมัครจิตสนิทกัน
ข้าเห็นว่าอยู่นั่น                        มิควรแล้วจึ่งถอยห่าง
ครั้นเมื่ออรุณฉาย                     อุษาพรายพื้นนะภางค์
เห็นคู่สิเน่ห์พลาง                     จับหัตถ์จูงกันจากลาน
มุ่งตรงลงไปยัง                         ณ ที่ฝั่งอุทกธาร
แต่นั้นกระทั่งกาล                    บัดนี้ยังมิกลับมา
ขอบอกให้ท่านรู้                       เพื่อตรองดูจงดีว่า
อันโฉมนงพงา              จะกลับร่างฤาอย่างไร
ฤาว่าพอมีคู่                  เป็นเชิงชู้ที่ชอบใจ
นางนั้นจะมิได้              กลับรูปเป็นเหมือนเช่นเคย
โสมะทัต.                     ข้อนี้ไม่เคยรู้                 ทั้งมิได้คำนึงเลย
เพราะเห็นนางทรามเชย           ไม่เคยชอบในเชิงชู้
แต่เมื่อท่านถามมา                   ข้าก็เห็นชอบกลอยู่
จำเป็นต้องเรียนครู                  ให้ท่านทราบซึ่งกิจจา
ขอท่านจงคอยก่อน                  ข้าจะรีบเข้าไปหา
และเรียนพระสิทธา                 เล่าแถลงแจ้งคดี
                         
โสมะทัตขึ้นสู่อาศรมแล้วหายเข้าโรงไปทางประตูอาศรม ฝ่ายศุภางค์ไปนั่งแท่นศิลาใต้ต้นไม้, ท่าทางรำพึงอยู่. สักครู่ ๑ นาคกับศุนจึงพากันย่องออกมาทางหลืบขวา, และตรงไปไหว้ศุภางค์.
นาค.                  ใต้เท้าขอรับ.
ศุภางค์.           อ้าว ทำไมกันอีกล่ะเพื่อน
นาค.                ก็คือว่า-
ศุน.                  เพื่อนกระผมตั้งใจจะกราบเรียนว่า เรื่องที่ได้กราบเรียนแล้วเมื่อกี้นี้นั้น มันมีข้อความต่ออีก ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป
สะกิดเพื่อน)
ศุภางค์.           เพื่อไม่ให้ต้องเปลืองเวลาเปล่า ฉันขอบอกให้เพื่อนทราบว่าเรื่องที่เพื่อนจะเล่านั้นฉันได้รู้เพียงพอที่ฉันอยากจะรู้แล้ว
และฉันขอแนะนำว่าในส่วนตัวเพื่อนทั้งสอง ก็ไม่ควรอยากรู้อยากเห็นอะไรยิ่งไปกว่าที่ได้รู้ได้เห็นอยู่แล้ว เข้าใจไหม
นาค.                ไม่เข้าใจขอรับ
ศุภางค์.           (พูดกับศุน.) แต่ส่วนเพื่อนเป็นคนฉลาดคงเข้าใจแล้วละสินะ
ศุน.                  เข้าใจแล้วขอรับ.
ศุภางค์.           เข้าใจว่ากระไร
ศุน.                  เข้าใจว่าใต้เท้าไม่อยากพูดกับกระผมและเพื่อนกระผมอีก.
ศุภางค์.           (หัวเราะ) ฉันว่าแล้วว่าแกเป็นคนฉลาด !
                         
พระกาละทรรศินออกทางประตูอาศรมมายืนอยู่ที่ระเบียง : โสมะทัตตามออกมาด้วย. ศุภางค์ลุกขึ้นกระทำความเคารพ. ฝ่ายนาคและศุนเลี่ยงเข้าโรงทางหลืบขวา
กาพย์ยานี, ๑๑.
กาละทรรศิน.               อ้อ, โสมะทัตเล่า                      ให้เราแล้วละเสนี
และเรามิได้มี                          ความเดือดร้อนเท่าใดนัก
เพราะเราเข้าใจว่า                   มะทะนาบุตรีรัก
ครานี้บางทีจัก                       ได้ปลื้มปลาบสิ้นสาปสรรพ์
หากนางจะมีโชค                   โดยสมเด็จพระทรงธรรม์
โปรดปรานนงคราญนั้น           ก็ควรที่จะดีใจ
และมาจนบัดนี้                        ยังคงรูปเป็นนางไซร้
ไม่กลายเป็นต้นไม้                   ไปดังเช่นที่เคยมา
ตามที่ได้เล็งญาณ                   เราทราบแล้วเป็นแน่ว่า
นางนี้ไม่ใช่นา                          ริเลวทรามสถานใด
เป็นเทวะธิดา                          จุติจากสุราลัย
และในปางก่อนไซร้                 ก็เป็นราชะบุตรี
ของจอมสุราษฎร์ผู้                  ธำรงยศและศักดิ์ศรี
จึ่งควรพระภูมี                        จะทรงรับเป็นคู่ครอง
เมื่อทราบอยู่เช่นนี้                   ควรยินดีที่สมปอง,
แต่เราสิมาตรอง                      ก็เกิดความวิตกใจ
ครั้นจะอธิบาย                       ก็ยากอยู่หาน้อยไม่
ท่านฤาจะเข้าใจ
ศุภางค์.                                  พระคุณเจ้าได้เล็งญาณ
แล้วคงจะทราบสิ้น                  ณ เหตุซึ่งจะรำคาญ
และข้าผู้รู้การ                        ก็ออกนึกวิตกอยู่
ข้าใคร่จะบอกกล่าว               ให้นางสาวนั้นได้รู้
แต่นึกอีกทีดู                           จะเป็นการอวดดีไป
อนึ่งถึงแม้บอก                       ก็อาจเปล่าประโยชน์ได้
กาละทรรศิน.               จริงนา, เห็นว่าไร้                      ประโยชน์เปล่ามิชอบกล
ความรักเหมือนโรคา                บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล                       อุปะสัคคะใดใด.
ความรักเหมือนโคถึก               กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไป                     บยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้                        ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง                       บหวนคิดถึงเจ็บกาย
ดังนี้พยายาม                          จะห้ามปรามนางโฉมฉาย
คงมีแต่ผลร้าย                         และปราศจากซึ่งผลดี
                         
ท้าวชัยเสนกับมัทนาจูงมือกันออกทางหลืบซ้าย, ไปเคารพพระกาละทรรศิน)
วสันตะดิลก. ๑๔.
ชัยเสน.                        ข้าขอประชุมนะขะประณต                  วรบทมุนีศรี
ด้วยข้าและโฉมสุระนะรี                      สิละเมิดพระสิทธา
เหตุด้วยละเลิงกะมละร่าน                  ระติรึงณวิญญาณ์
ข้าเจ้าและเยาวะมะทะนา                   สิประพฤติบบังควร
แต่กามะเทวะนะสิแผลง                      ศะระแกมผกามวล
มาต้องกมลอุภะยะชวน                       ฤดิรักสมัครกัน
พอข้าประสบวิมละพักตร์                    มะทะนานะรีขวัญ
อั้นอึ้งประหนึ่งสุมิคะอัน                       ศะระเสียบณกลางใจ
พิษกามะศรประดุจะพิษ                      ระอุอัคคิเผาใน
อกผลาญและรานกะมละไหม้             บมิอาจจะดับลง
ยามกลับณมาละกะก็จิต                    บมิวายพะวงหลง
เหลือที่จะหักระติก็ตรง                        ติระสู่พระอาศรม
หวังเพียงจะดูวรกุฎี                            ก็จะรื่นระรวยรมย์
พันเอินกะนิษฐะก็ผะทม                     บมิหลับและออกมา
ยืนยังระเบียงและอระเปล่ง                วรพจน์แสดงว่า
นางเองก็น้อมกะมละมา                     อภิรมยะเช่นกัน
ข้าฟังก็เปรมกะมละชอบ                     และก็ตอบพจีพลัน
แล้วต่างแสดงสุปิยะนัน-                     ทะนะพจน์พิเศษหวาน
แล้วจึ่งประนอมมะนะสะจร                ดละยังอุทกมาน
มานัสและกล่าววรประทาน                วิธิถูกประเพณี
บัดนี้ประนอมกะมละมา                     อภิวาทะจอมชี
ขอให้กระทำวรพิธี                              อภิเษกะสมรส
เพื่อเป็นสุวัตถิสิริมง-                           คะละการะปรากฏ
สมศักดิ์และสมสุวรยศ                        มะทะนาและข้านี้
(ฉบงง, ๑๖.)
กาละทรรศิน.               ราชะ ! อันพระวาที                   กลมกล่อมถ่อมดี
และรูปถวายพระพร
อันองค์พระปิ่นนิกร                           กับองค์บังอร
ที่แท้ก็คู่ควรกัน            
เพราะนางมิใช่สามัญ                       เป็นธิดาสวรรค์
จุติมาจากฟากฟ้า
อีกในชาติก่อนนั้นมา                         ก็เป็นธิดา
แห่งจอมกษัตริย์ทรงดิน
ดังนี้ควรพระภูมินทร์                         จะยกนาริน
ขึ้นเป็นพระอัครชายา
ข้าจะทำการอาวาห์                           ดังทรงปรารถนา
สวัสดิ์พิพัฒน์ผ่องใส
แน่ะโสมะทัตจงไป                             นำเพลิงที่ใน
เตาคาร์หะปัตย์ออกมา
จะได้ก่อเพลิงบูชา                             ทวยเทพเทวา
ตามแบบคัมภีร์โบราณ.
                         
โสมะทัตไหว้แล้วเข้าโรงไปทางประตูอาศรม
ชัยเสน.                        ศุภางค์เรียกนายทหาร             มาเป็นพยาน
ในการพิธีอาวาห์
รีบไปอย่าได้รอข้า
ศุภางค์.                                          ข้ารับบัญชา
และรีบไปในบัดนี้
                         
ศุภางค์เข้าโรงทางหลืบซ้าย.
ชัยเสน.                        อ้าพระผู้ยอดโยคี                     พระคุณปรานี
แก่ข้าเป็นล้นพ้นไป
กาละทรรศิน.               อันอาตะมะนี้ไซร้                      ทุกเมื่อจงใจ
สนองพระคุณราชา
เมื่อเห็นทรงพระเมตตา                        แด่มะทะนา
ก็พลอยมีจิตยินดี
เพราะรักเหมือนเป็นบุตรี                     และบุตรได้ดี
บิดาก็ต้องพอใจ
                         
โสมะทัตกับพวกศิษย์ออกมาเตรียมการพิธี, คือบางคนเอาหญ้ามาโรยบนแท่นศิลา แล้วเอาหนังกวางปูทับอีกที ๑ ; บางคนยกแท่นกูณฑ์ออกมาตั้งตรงหน้าแท่นศิลา, เอาโถน้ำมันและช้อนมาวางบนแท่นศิลา และขนเชื้อเพลิงมากองไว้พร้อมข้างแท่นกูณฑ์ ; บางคนเครื่องสังเวยเทวดา, สังข์สำหรับรดน้ำ, และแป้งเจิมมาตั้ง. ระหว่างที่เตรียมการนี้, พระกาละทรรศินเรียกท้าวชัยเสนกับมัทนาขึ้นไปสนทนากันเบา ๆ ที่บนระเบียงอาศรม, เพื่อให้โอกาสให้พวกที่จัดเตรียมพิธีได้พูดกันตามควร. เมื่อจัดของต่าง ๆ ตั้งตามที่แล้ว, พวกศิษย์ยกตั่ง ๒ อันมาตั้งตรงหน้าแท่นกูณฑ์, แล้วโสมะทัตเรียกนักสวด ๔ คน กับคนเป่าสังข์ ๒ คน มาคอยไว้. ฝ่ายศุภางค์บัดนี้ก็นำนายทหารและบริวารของท้าวชัยเสนออกทางหลืบซ้าย, และนั่งเรียงรายทางด้านซ้ายแห่งเวที. พอพร้อมหมดแล้ว, พระกาละทรรศินชวนท้าวชัยเสน และมัทนาลงมาจากระเบียงอาศรม, พาคู่บ่าวสาวไปนั่งตามที่, คือหันหน้าไปทางแท่นกูณฑ์ทั้ง ๒ คน ให้ท้าวชัยเสนนั่งตั่งขวา, มัทนานั่งตั่งซ้าย, แล้วพระกาละทรรศินไปนั่งบนแท่นศิลา. โสมะทัต นำไต้จุดไฟออกมาจากในอาศรมไปส่งให้พระกาละทรรศิน พระกาละทรรศินรับไปจบ แล้วก่อไฟในกูณฑ์พลาง, เสกมนตร์เบา ๆ พลาง. บัดนี้นักสวดจึ่งยืนขึ้นและสวดดังต่อไปนี้.
บทสวด
สรภัญญะ.
อินทะวิเชียร, ๑๑.
      อ้าองค์พระอัคนี                 วรศรีประภาใส
เป็นเอกอุดมใน                        หุตะกิจพะลีการ
      ข้าขอประณตองค์              สุระทั้งณตรีสถาน
ทุกภาคพิเศษมาน                    มนะมุ่งณการยัญ
      หนึ่งคือสุรีย์แจ่ม                 สุจรัสณภูมิสวรรค์
ส่องโลกมนุษย์นัน-                   ทะนะอุ่นระอุกาย
      ที่สองประภาปรา-              กะฏะในนะภาพราย
คือวิชชุโชติ์ฉาย                        รุจิแลบณเมฆา
      ที่สามก็คือไฟ                     นระก่อณเคหา
เพื่อกอบสุภักษา                      และประกอบพะลีพูน
      องค์นี้และได้เชิญ               พระเสด็จณแท่นกูณฑ์
ด้วยพรอ้มมโนมูล                    จะกระทำหุตาการ
      อ้าองค์พระทรงเมษ            สุระเดขตระการฉาน
โปรดเอื้อและเอาภาร               ธุระด้วยสุไมตรี
      ยามเริ่มพะลีกรร-               มะสุยัญญะการนี้
จงสิทธิด้วยดี                          ดุจะข้าทำนูลวอน
      ช่วยนำพะจีถึง                   สุระเทพณอัมพร
มารับพะลีกร                           ดนุได้ผจงสรรพ์ ฯ
                         
กุสุมิตลดา, ๑๘.)
กาละทรรศิน.               ข้าขอไหว้อัคคีอธิปะติสุพรร-                ณาทิทูตสวรร-
คะเรืองเดช
จงโปรดนำคำทูลปะระมะสุรเศรษฐ์                 วิศวะเทเวศร์
มหาศาล
โอมอัญเชิญนารายะณะพระหริชาญ-             ชัยบำราบมาร
ปะราชัย
พร้อมด้วยเทวีศรีภะคะวะติวิไลย                     วรรณะผ่องใส
วิมลเนตร
โอมอัญเชิญองค์ตรีศุลิศิวะมเหศร์                   นั่งณะยอดเขต-
ตะจอมผา
อีกแม่เจ้าสวรรค์บรรพะติวะระอุมา                  ผู้พระชายา
อุดมศักดิ์
โอมอัญเชิญธาดาปะติจะตุระพักตร์                เพ่งพินิศรัก-
ษะสี่ทิศ
ทั้งโฉมชายายอดสุธิระศุภะวิทย์                      ศิลปะสอนจิต
จรุงใจ
อีกขอเชิญท้าวศักระอมะระวิชัย                      จอมสุราลัย
มหิทธี
พร้อมองค์เทวินปิ่นอมะระยุวะดี                      อินทระศักดิ์ศรี
ศะจีอร
อีกขอเชิญองค์เทพระวิและศะศิธร                  สองอะมรยอด
พยานกรรม
อีกขอเชิญเทวานิกะระฐิติธรรม                        สิงสถิตอัม-
พะรากาศ
ทั้งทวยเทพที่สิงณปะฐวิอาจ                            รักษะทวยราษฎร์
ณแดนคน
เชิญทุกเทพเจ้าผู้สิริวรวิมล                              มาณมณฑล
พิธีเทอญ
(ฉบงง, ๑๖.)
บทพากย์ของนักสวด
อ้าทวยเทพฟังคำเชิญ              แล้วโปรดอย่าเมิน
มโนจงน้อมพร้อมกัน
ฟังคำข้าทูลเทวัญ                    ผู้ทรงมหันต์
มหิทธิเดชเกรียงไกร
ด้วยองค์สมเด็จจอมไอ-           ศวรรยาธิปไตย
ดำรงซึ่งรัฐหัสดิน
ทรงนามชัยเสนนริน-                ทะราชเรืองศิล-
ปะศาสตรรณเชี่ยวชำนาญ
แจ้งเจนไตรเพทพิศาล              อีกทั้งปุราณ
คัมภีร์ก็รู้ตามควร
อีกว่องไวในกระบวน                อาวุธถี่ถ้วน
ทุกอย่างในทางยุทธกล
สันทัดอัศวะโกศล                    พระรูปวิมล
สิริโสภาคย์สรรพางค์
พระคุณสมบัติสำอาง              รูปสมบัติสล้าง
และโภคะสมบัติบูรณ์
เทวานุเคราะห์เกื้อกูล               แก่นเรนทร์สูร
จึ่งทรงสวัสดิ์แสนดี
สิ่งทรามใดใดไป่มี                    มากลั้วณที่
พระองค์สมเด็จภูบาล
บัดนี้พระหฤทัยท่าน                 เมตตานงคราญ
วิสุทธิศักดิ์โสภา
อันมีนามะไธยยา                     ว่ามะทะนา
วิเศษสุลักษณานวล
ทั่วทั้งสรรพางค์นางยวน          เนตรชมอีกชวน
ให้เพ่งและเพลินเจริญใจ
มารยาทเรียบร้อยและใคร       ยลชมอรไท
ว่าแสนประเสริฐเลิศดี
สมควรเป็นองค์เทวี                  คู่บาระมี
สมมติเทพรังสรรค์
พระงามนางงามสมกัน            ทั้งคุณอนันต์
อเนกะเท่าทั้งสอง
ข้าขอทวยเทพทั้งผอง               พร้อมกันปรองดอง
ประทานพระพรเพิ่มศรี
แด่ราชาธิบดี                          อีกองค์เทวี
วิสุทธิคู่สมรส
บัดนี้องค์พระดาบส                 จะถวายรด
อุทกประกอบคาถา
อีกเฉลิมพระพักตรา                เพิ่มมังคะลา
ธิการณกิจพิธี
ขอจงสององค์ทรงศรี               ศุภะสวัสดี
ครองคู่กันอยู่จีระกาลฯ
                         
ในระหว่างที่สวดบทข้างบนนี้ พระกาละทรรศิน นั่งบริกรรม, ตักน้ำมัน เนย หยอดในไฟเป็นครั้งคราว ; พอถึงบทที่เริ่มด้วยคำว่า แด่ราชาธิบดี ฯลฯ พระกาละทรรศินรินน้ำจากหม้อกลศลงในสังข์ และเปิดตลับแป้งเจิม, ส่งสังข์ให้โสมะทัตและตลับแป้งเจิมให้ศิษย์อีกคน ๑ ถือตาม, แล้วเดินไปยังที่คู่บ่าวสาวนั่ง. พอเขาสวดว่า จะถวาย ฯลฯพระกาละทรรศินก็รดน้ำให้คู่บ่าวสาว, และพราหมณ์เป่าสังข์เมื่อรับตะโพน; ในระหว่างเขาสวดว่า อีกเฉลิมพระพักตรา ฯลฯ พระฤาษีเจิมคู่บ่าวสาว, และพราหมณ์เป่าสังข์เช่นครั้งก่อน; ในระหว่างเวลาที่เขาสวดบทสุดท้ายนั้น, พระฤษีกลับไปนั่งแท่นตามเดิม. แล้วคู่บ่าวสาวจึ่งยืนขึ้นและกล่าวคำปฏิญญาดังนี้.
จิตรปทา, ๘.
ชัยเสน.  ข้าชัยเสน อธิเบนทร์พงศ์ จันทะประสงค์ พิธิสมรส
กับมะทะนา วธุปรากฏ กอบวระยศ สิริเท่ากัน ;
ข้าจะถนอม ทะนุพร้อมพรั่ง สมดุจะดัง มหิษีอัน
เป็นภริยา สหชาติกัน เป็นอรขวัญ ณนิเวศน์ใน !
มัทนา.  ข้ามะทะนา วนิดายอม มอบฤดิน้อม ณพระทรงชัย
เป็นวระราช มหิษีใฝ่ ภักดิณไท้ บมิลดลา.
                         
พราหมณ์เป่าสังข์. คู่บ่าวสาวจูงมือกันเดินประทักษิณเวียนรอบไฟและพระฤษี ๓ รอบช้า ๆ. ในระหว่างที่คู่บ่าวสาวเดินประทักษิณดังนี้ นักสวดสี่คนสวดฉันท์สดุดีดังต่อไปนี้.
บทสวด
ทำนองสดุดีสังเวย.
วสันตะดิลก, ๑๔.
อ้าหญิงและชายฤดิสมัคร                    มะนะร่วมสิเนหา
พร้อมจิตผสมสะมะระมา                     อภิเษกะสมรส
เหมือนหนึ่งประมวญสะริระอีก            มะนะรวมก็ยงยศ
ยงศักดิเกียรติคุณะหมด                      เพราะผสมกำลังกัน
ผู้ใดสมัครสะมะระสม-                        ระสะร่วมมโนฉันท์
ปวงไทสุเทวะมรุสรร-               พะอำนวยพระพรพูน
หญิงชายกระทำวิธิวิวา-          หะสิมุ่งผดุงกูล
วงศาคณาคณะประยูร            บมิเสื่อมมิทรามหาย
เทวาประสิทธิวรบุตร               และธิดาประดุจหมาย
ให้ทรงและสืบสกุลละสาย       สุวพันธุพืชงาม
ขอทวยสุเทวะสุระฤท-             ธิมะหิทธิเรืองราม
โปรดช่วยบำรุงวรวิศาม-          ปะติอีกพระชายา
ให้ทรงเจริญสิริสุวัต-                ถิพิพัฑฒะนาอา-
ยูวรรณะสุขพละและสา-         ระวิสุทธิศฤงคาร
ขอพรประสิทธิบมิขาด            ณ พระราชะสมภาร
อีกเทวิองค์อระวิศาล               สิริสิทธิภีย์โย ฯ
                         
คู่บ่าวสาวประทักษิณไฟเสร็จแล้ว, ไปยืนประนมมืออยู่ที่ตรงหน้าพระกาละทรรศิน, และพระกาละทรรศินอำนวยพรเป็นภาษามคธดังต่อไปนี้.
สามัญคาถา.
กาละทรรศิน.               สาธุ เทวานุภาเวน                    สทา โสตฺถี วิวฑฺฒโน
ทีฆายุโก จ นิทฺทุกฺโข                นิพฺภโย จ นิรามโย ฯ
สิทฺธิ กิจฺจญฺจ กมฺมญฺจ             สิทฺธิ ลาโภ ชโย ชโย
ชยเสนมหาราช-                       วรสฺส ภวตุ สพฺพทา. ฯ *
                         
ปิดม่าน
* คำแปลคาถาข้างบนนี้

ดังข้าวิงวอน ขอ (พระเจ้าชัยเสนมหาราช) จงทรงพระสวัสดี ทรงพระเจริญพิเศษ ทรงพระชนมายุยืนนาน ปราศจากทุกข์, ปราศจากภัย, ไร้ความไม่สำราญ, ด้วยอานุภาพเทวดา ทุกเมื่อ ฯ ขอกิจที่สำเร็จ, การงานที่สำเร็จ, ลาภที่สำเร็จ, ชัยชนะชัยชนะที่สำเร็จ, จงมีแด่พระเจ้าชัยเสนมหาราชผู้ประเสริฐ ในกาละทั้งปวง ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น