วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

คุณค่าจากเรื่องมัทนะพาธา

มัทนะพาธา
ตำนานดอกกุหลาบ


เพิ่มเติมเนื้อหาลิงค์ด้านล่าง
                มัทนะพาธาแต่งเป็นบทละครพูด  เป็นศิลปะการแสดงที่เพิ่งนิยมกันในปลายรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร  ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ  พระองค์สนพระทัยละครพูดของตะวันตกมาก  โปรดการเสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงละครพูดและต่อมาก็ได้ทรงวิจารณ์การละครทรงพระราชนิพนธ์บทละคร  ทรงจัดแสดงละครตลอดจนทรงแสดงละครเอง  ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ
             เสด็จนิวัติประเทศไทยในพ.ศ.  ๒๔๔๕  ขณะทรงพระชนมายุ  ๒๒  พรรษา  ได้ทรงตั้งทวีปัญญาสโมสรขึ้นที่พระราชวังสราญรมย์  แล้วทรงสร้างโรงละครเล็กขึ้นสำหรับการแสดงละครพูดโดยเฉพาะ  เรียกว่า  โรงละครทวีปัญญา  บทละครพูดที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในระยะแรกๆ  เป็นเรื่องที่ทรงแปลแล้วดัดแปลงมาจากบทละครภาษาอังกฤษ  เช่น  เรื่องชิงนาง  หาโล่  เห็นแก่ลูก  เป็นต้น  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้อยแก้ว  ที่เป็ ร้อยกรองก็เป็นบทละครพูดคำกลอน  เช่น  พระร่วง  เวนิสวานิช  เป็นต้น  มีเพียงเรื่องเดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นบทละครพูดคำฉันท์คือ  มัทนะพาธา  หรือ  ตำนานดอกกุหลาบ
             มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดคำฉันท์ ๕ องก์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ  พ.ศ.  ๒๔๖๖  ซึ่งเป็นช่วงที่มีพระราชกิจมาก  ขณะทรงพระประชวรและประทับอยู่  ณ  พระราชวังพญาไทต่อจากนั้นก็เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคประทับแรมตามที่ต่างๆเช่น  บางปะอิน  สุพรรณบุรี  สิงห์บุรี ลพบุรี  โดยได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธาไปด้วย  จนเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ วันที่  ๔  ตุลาคม  ๒๔๖๖  และทรงพระราชนิพนธ์ต่อที่พระราชวังพญาไทจนจบเมื่อวันที่  ๑๘  ตุลาคม  ๒๔๖๖  ทรงใช้เวลาพระราชนิพนธ์  ๑  เดือน  ๑๗  วัน  ต่อมาในเดือนมกราคม  ๒๔๖๗  ได้ทรงแปลบทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธาเป็นร้อยแก้วภาษาอังกฤษพร้อมด้วยอภิธานศัพท์  เมื่อทรงแปลเสร็จในเดือนพฤษภาคม  ๒๔๖๘  ก็ได้พระราชทานแก่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรเพื่อให้พิจารณาทูลเกล้าฯ  ถวายความเห็น  พระวงศ์เธอ  กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรกราบบังคมทูลว่า  ทรงเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษมาก  น่าจะทรงพระราชนิพนธ์เป็น  blank  verse  (กลอนเปล่า  ซึ่งเป็นคำประพันธ์ที่กำหนดจำนวนคำโดยไม่บังคับสัมผัส  แต่เน้นจังหวะของเสียง)  ตามแบบบทละครพูดของเชคสเปียร์ได้  จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์แปลใหม่เป็นร้อยกรองตามคำกราบบังคมทูล  แต่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถึงกลางองค์ที่  ๔  ก็ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเสียก่อน
              ย้อนกลับไปเมื่อครั้งจะเริ่มทรงพระราชนิพนธ์  ได้ทรงพยายามหาคำบาลีสันสกฤตสำหรับชื่อ  ดอกกุหลาบ  พระสารประเสริฐ  (ตรี  นาคะประทีป ขณะยังเป็นรองอำมาตย์โทหลวงธุรกิจภิธาน)  ค้นได้ศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า กุพชก แต่ได้ทรงพระราชวินิจฉัยว่าถ้าจะให้เป็นชื่อนางเอกอาจต้องเปลี่ยนเสียงพยางค์หลังเป็น  กุพชกา  ซึ่งมีเสียงน่าฟัง  แต่จะไปตรงกับศัพท์ที่แปลว่า  นางค่อม  จึงทรงเลือกใช้คำว่า  มัทนา  เป็นชื่อนางเอก  มัทนา  มาจากศัพท์  มทน แปลว่า  ความลุ่มหลง  หรือ  ความรัก  นอกจากนั้นเมือทรงพบศัพท์  มัทนพาธา  จากพจนานุกรมสันสกฤตซึ่งมีความหมายว่า  ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก  ซึ่งตรงกับแก่นเรื่องของบทละครเรื่องนี้  จึงทรงใช้ชื่อว่า  มัทนะพาธา  หรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ
              บทละครเรื่องมัทนะพาธาได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรประกาศยกย่องให้เป็นหนังสือที่แต่งดีใช้คำฉันท์เป็นบทละครพูดซึ่งแปลกและแต่งยากเป็นเรื่องที่มีตัวละครและฉากสอดคล้องกับวัฒนธรรมภารตะโบราณ  และเข้ากับเนื้อเรื่องดี  นับว่าทรงพระปรีชาสามารถมาก  วรรณคดีสโมสรจึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายประกาศนียบัตร  เมื่อวันที่  ๑๑  พฤษภาคม  ๒๔๖๗
             มัทนะพาธามีการผูกเรื่องให้มีความขัดแย้งเป็นปมปัญหา  คือ  ให้สุเทษณ์หลงรักมัทนา  แต่มัทนาไม่รับรัก  สุเทษณ์จึงกริ้ว  บทบาทของสุเทษณ์คือ  ผู้ยิ่งใหญ่ที่เมื่อไม่ได้ดังใจเพราะรักไม่สมหวังก็โกรธแล้วลงโทษ  มัทนาจึงต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์เป็นการชดใช้  มัทนาพบรักกับชัยเสน  แต่ความรักก็ไม่ราบรื่นเพราะมีอุปสรรคคือ  นางจัณฑี  ความริษยาและความแค้น  ทำให้จัณฑีคิดร้ายต่อมัทนา  มัทนาจึถูกพรากไปจากชัยเสน  และได้พบสุเทษณ์อีกครั้งแต่มัทนาก็ยังไม่เปลี่ยนใจ  เรื่องจึงจบด้วยความสูญเสีย  สุเทษณ์ไม่สมหวังในความรัก ชัยนเสนสูญเสียคนรัก และมัทนาต้องเปลี่ยนสภาพมาเป็นเพียงดอกกุหลาบ
              แก่นเรื่อง  (Theme)  ของมัทนะพาธา  คือ  ความเจ็บปวดและความเดือดร้อน  เพราะความรัก  สุเทษณ์เป็นทุกข์เพราะหลงรักมัทนา  ดังคำรำพันว่า  “หากไม่สมรักก็เหมือนตายทั้งเป็น”
         จันฑีเป็นทุกข์เพราะสามีไม่รัก  มัทนาเป็นทุกข์เพราะถูกพรากจากสามี  และชัยเสนเป็นทุกข์เพราะสูญเสียนางที่รัก  เนื้อเรื่องจึงสอดคล้องกับชื่อเรื่องว่า  มัทนะพาธา  ซึ่งหมายถึงความเจ็บปวด  และความเดือดร้อน  เพราะความรักนอกจากนั้นความรักยังมีอานุภาพมากจนทำให้มนุษย์กล้าตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ  ได้โดยไม่ใคร่ครวญ
             มัทนะพาธาเป็นหนังสือที่แต่งได้โดยยาก โดยเฉพาะรูปแบบการประพันธ์  ในเรื่องนี้มีคำประพันธ์ประเภทฉันท์ชนิดต่างๆ  ถึง  ๒๑  ชนิด  ทั้งที่เป็นฉันท์ที่นิยมแต่งกันมาแต่โบราณ  เช่น  อุปชาติ  อินทรวิเชียร  วสันตดิลก  ภุชงคปยาต  เป็นต้น  และที่ไม่ค่อยปรากฏในวรรณคดีเรื่องอื่นๆ  เช่น  มันทักกันตา  เมฆวิปพุชชิตา  กุสุมิตลดา  สวาคตา  เป็นต้น  ที่อยู่ในหนังสือมี  ๗  ชนิด  คือ  อินทรวิเชียรฉันท์  วสันตดิลก  วิชชุมมาลา   อินทวงศ์    สาลินี   จินตรปทา   บางตอนก็ใช้กาพย์ยานี   กาพย์ฉบัง  หรือ  กาพย์สุรางคนางค์  ซึ่งวางรูปเป็นบทสนทนา  นับว่าเป็นบทเจรจาที่ใช้คำประพันธ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติเพราะฟังได้ราบรื่นรับช่วงกันดี  นอกจากนั้นยังมีบทเจรจาร้อยแก้วในส่วนขอตัวละครที่ไม่สำคัญเช่น  บทเจรจาระหว่างนาคกับศุน  ศิษย์ของพระกาละทรรศินในต้นองก์ที่  ๒  การใช้ลีลาภาษาที่หลากหลายอ่านได้ไม่รู้สึกเบื่อตอนใดต้อการดำเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้วตอนใดที่ต้องการจังหวะเสียงและความคล้องจองก็ใช้กาพย์  ตอนใดเน้นอารมณ์มาก็ใช้ฉันท์
              พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธาด้วยพระปรีชาญาณและสุตาญาณอันกว้างขวาง  พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้า  ทรงสดับตรับฟัง  และทรงวินิจฉัย  จนถ่องแท้ก่อนที่จะทรงสร้างสรรค์เป็นงานศิบปะไม่ว่าจะเป็นการที่พระราชวินิจฉัยเรื่องชื่อนางเอกหรือทรงพิจารณาโศลกอธิบายคุณสมบัติของดอกกุหลาบในคัมภีร์สันสกฤตว่า
                                    กุพฺชกะงามดังสาวรุ่น             มีดอกใหญ่  มีเกสรยิ่งทนมาก
                        สะพรั่งด้วยหนาม                                มีฝูงผึ้งเขียวเป็นกลุ่ม
                        กุพชกะมีกลิ่นหอม                              กินอร่อย  หวานมีรสเลิศ
                        ระงับตรีโทษ  เจริญราค                       เย็นสบาย  แก้โรคเช่นท้องร่วง
               พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำข้อความนี้มาเป็นคำอธิบายของมายาวินเพื่อทูลสุเทษณ์ว่ามีไม้ดอกชนิดหนึ่งที่น่าจะกำหนดให้เป็นกำเนิดของมัทนาในโลกมนุษย์
               ด้วยพระปรีชาญาณ  และพระสุตาญาณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา  จึงเป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่าสมควรที่เราจะอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์  เพื่อให้ประจักษ์คุณค่านั้นอย่างแท้จริง 



เเปลมัทนะพาธาองค์ที่1-5



องก์ที่  ๑  กล่าวถึงเหตุการณ์บนสวรรค์  เทพบุตรหลงรักเทพธิดามัทนา  แต่นางไม่มีใจให้  สุเทษณ์จึงให้มายาวินใช้เวทมนตร์สะกดเรียกนางมา  มัทนาเจรจาตอบสุเทษณ์อย่างคนไม่รู้สึกตัว   สุเทษณ์จึงไม่โปรด  ขอให้มายาวินคลายสะกด  มัทนาเมื่อรู้สึกตัวก็ตอบปฏิเสธสุเทษณ์  ทำให้สุเทษณ์โกรธ  จึงสาปให้นางจุติไปเกิดเป็นดอกกุหลาบในโลกมนุษย์  โดยสาปว่าให้กุหลาบดอกนั้นกลายเป็นมนุษย์เฉพาะวันเพ็ญเพียงวัน และคืนเดียว  ต่อเมื่อมีความรักจึงจะพ้นสภาพจากเป็นดอกไม้  และหากเป็นทุกข์เพราะความรัก  ก็ให้วิงวอนต่อพระองค์  พระองค์จะช่วย
องก์ที่  ๒  เป็นฉากหิมะวันซึ่งมีต้นกุหลาบ  มัทนา  ขึ้นอยู่  ฤษีกาละทรรศินขุดไปปลูกไว้ที่อาศรม  เมื่อมัทนากลายเป็นมนุษย์ก็เลี้ยงดูรักใคร่เหมือนลูก  ท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งเมืองหัสตินาปุระเสด็จไปล่าสัตว์   ได้พบมัทนาก็เกิดความรัก
องก์ที่  ๓  เป็นฉากลานหน้าอาศรมพระกาละทรรศิน  ชัยเสนออกมารำพังถึงความรักที่มีต่อมัทนา  และแอบได้ยินมัทนารำพันถึงความรักที่นางมีต่อชัยเสนเช่นกัน  ทั้งสองสาบานรักต่อกัน  มัทนาจึงไม่ต้องกลับไปเป็นกุหลาบอีกพระกาละทรรศินทำพิธีแต่งงานให้ชัยเสนและมัทนา
องก์ที่  ๔  เป็นฉากในกรุงหัสตินาปุระ  ชัยเสนอยู่กับมัทนาอย่างมีความสุข  พระนางจัณฑีมเหสีของ ชัยเสนหึงและแค้นใจมาก  จึงขอให้พระบิดาซึ่งเป็นราชาแคว้นมคธยกทัพมาตีหัสตินาปุระ  จัณฑียังใช้ให้นางค่อมข้าหลวงทำกลอุบายว่ามัทนารักกับศุภางค์ทหารเอกของชัยเสน  ชัยเสนหลงเชื่อจึงสั่งให้ประหารมัทนาและสุภางค์
องก์ที่  ๕  ตอนแรกเป็นฉากพลับพลาในค่ายหลวง  พราหมณ์วิทูรเข้าเฝ้าชัยเสน  แล้วสารภาพผิดว่าตนเป็นหมอเสน่ห์ที่ร่วมทำอุบายให้จัณฑี  ชัยเสนรู้ว่ามัทนาและศุภางค์ไม่มีความผิดก็เสียใจมาก  นนทิวรรธน์  อำมาตย์เอกจึงทูลความจริงว่าได้ปล่อยมัทนาไป  และโสมทัตย์ศิษย์ของพระกาละทรรศินได้พานางกลับไปอยู่ในป่าหิมวันต์  ส่วนศุภางค์ก็เป็นอิสระเช่นกัน  และได้ออกไปต่อสู้กับข้าศึกจนตายอย่างทหารหาญ  ชัยเสนสรรเสริญศุภางค์และสั่งให้นนทิวรรธน์เตรียมขบวนไปรับนางมัทนา  ทางด้านมัทนาได้ทูลขอให้สุเทษณ์รับนางกลับไปสวรรค์  สุเทษณ์ขอให้นางรับรักตนก่อน  แต่มัทนาปฏิเสธ  สุเทษณ์กริ้ว  จึงสาปให้มัทนาเป็นกุหลาบตลอดไป  ชัยเสนมาไม่ทัน  จึงได้แต่นำต้นกุหลาบกลับไปเมืองหัสตินาปุระ
-------   จบบริบูรณ์  -----

มัทนะพาธาองค์5

องก์ที่ ๕

ตอนที่ ๑


พลับพลาในค่ายหลวงที่ตำบลกุรุเกษตร์
ฉากเป็นห้องประทับที่ข้างในพลับพลา, ซึ่งมีม่านทองกั้นแทนฝาทั้งด้านขวาและด้านซ้าย; ด้านหลังมีม่านรวบผูกให้แหวกตรงกลางเป็นช่องเข้าออก, มีลับแลตั้งบังช่องนี้, ทางด้านซ้ายมือมีเตียงตั้งอยู่ชิดม่านมีราชอาสน์และหมอนทอด, และเครื่องราโชปโภคตั้งพอสมควร.
(เมื่อเปิดม่าน, ท้าวชัยเสนเอกเขนกอยู่บนเตียง, มีมหาดเล็กอยู่งานพัดคน ๑, หมอบอยู่ทางด้านขวาอีก ๒ คน. สักครู่หนึ่ง นันทิวรรธนะแหวกม่านด้านขวาแล้วคลานออกมาถวายบังคม.)
(ยานี, ๑๑.)
นันทิวรรธนะ.ขอเดชะพระบาทนรนาถเหนือเกศี
บัดนี้เฒ่าธชีผู้มีชื่อวิทูรไซร้
ซึ่งมีพระบัญชาให้ตระเวนแล้วขับไล่
โอหังบังอาจใจเข้ามาถึง ณ ค่ายนี้
ข้าบาทได้ซักถามพราหมณ์ว่ามาก็เพราะมี
เรื่องทูลพระทรงศรีเป็นข้อความสำคัญนัก
ยืนยันสำคัญแท้ว่าถึงแม้แกเองจัก
ต้องรับอาญาหนักก็ขอทูลซึ่งกิจจา
ชัยเสน.แกคงต้องมีสิ่งจำเป็นจริงแกจึงกล้า
เอาเถิดเรียกเข้ามาจะฟังเรื่องของแกดู
            
(นันทิวรรธนะถวายบังคมแล้วคลานไปที่ม่านด้านขวา แหวกม่านหน่อยหนึ่งและกวักเรียกเข้าไปในโรงพราหมณ์วิทูรออก จึ่งพากันคลานเข้าไปเฝ้า..)
ชัยเสน.นี่แน่ตาพราหมณ์เฒ่าแกขอเฝ้าและบอกกู
มีข่าวสิ่งใดอยู่จงรีบแจ้งแถลงมา
(อุปัฎฐิตา, ๑๑)
วิทูร.ขอเดชะพระสมมติเทวะราชา
โปรดทรงกรุณาดนุสารภาพผิด
โอตัปปะกระตุ้นฤดิช้าก็หวนคิด
ได้ว่าผิวะปิดคติไว้จะบาปครัน
เมื่อคืนพระเสด็จจรเข้า ณ สวนขวัญ
ข้าทูลคติอันทุจริตมุสาวาท
ความจริงมะทะนาศุภะลักษะณานาฏ
ไม่เคยริพิฆาตฤขบถณภูมี
แท้จริง ณ พระนางวรเทวิจัณฑี
ตรัสใช้ดนุนี้และกระทำอุบายทราม
นางมานะอะรา-ลิวิการะไปตาม
บอกเค้าคติความพระดำริพระนางว่า
ทรงน้อยพระหทัยเพราะว่ะองค์พระภรรดา
โปรดนางมะทะนาและมิโปรดพระจัณฑี
ความทราบ ณ พระองค์บิตุรงค์ธจึงกรี-
ธาแสนยะจะตีบุรหัสตินาพลัน
บัดนั้นก็ประยุท-ธะและยังบแพ้กัน
จึ่งองค์วรจัณ-ฑิวิตกจะเสียการ
ขอให้ดนุแสร้งและกระทำพิธีปาน
หนึ่งว่ายุวะมาลย์มะทะนาดำรัสใช้
ให้ฝังวรรูปนรนาถะฦาชัย
อีกทำวิธีให้ฤดิแห่งศุภางค์รัก
ข้าเห็นคติทรามและอุวาทะท้วงทัก
นางค่อมอะประลักษณ์ก็ตะคอกและขู่เข็ญ
ว่าแม้ดนุนี้บมิยอมก็คงเป็น
โทษใหญ่และจะเห็นทุขะอันมหันต์สุด
เหตุเขาแหละจะกล่าวพะจิฟ้องดะนูดุจ
เป็นจาระบุรุษณ พระราชะธานี
ข้าเห็นวรจัณ-ฑิก็เป็นสุดาศรี
แห่งนายดนุนี้ดนุจึงประนอมใจ
ทำตามอภิปรายและอุบายก็เป็นไป
สมคิดและกะไว้บมิขาดละสักอัน
ครั้นเมื่อดนุฟังพระดำรัสประสาททัณฑ์
ใจข้าขณะนั้นหิริเตือนว่าตนโหด
ข้าเองสิเพาะให้นรนาถะกริ้วโกรธ
คนผู้นิรโทษสิจะถูกประหารชนม์
แต่ว่าขณะนั้นดนุกลัวนะเต็มทน
เกรงผิดจะพะตนบมิอาจจะพูดจา
ครั้นราชะบุรุษนิระเทศะตูข้า
ออกจากวรธา-นิดะนูคเณจร
ไปไหนฤก็ข้าบมิอาจจะหลับนอน
เหมือนเพลิงพิษะร้อนระอุรุมณกลางทรวง
ดังนั้นแหละทะนงจรตรงณค่ายหลวง
เพื่อทูลคติปวงและประณตณบาทา
ข้าเป็นทุรชนและละเมิดพระอาญา
แล้วแต่นรนา-ถะจะลงเถอะโทษแรง
            
(สัทธรา, ๒๑)
ชัยเสน.ฟังคำหมอเฒ่าวิทูรแจ้งวะจะนะประดุจจะแทง
ที่อุราแยงกระทั่งใจ
โอ้แพ้รู้นาริจัญไรทุษะประทะณหะทัย
โดยมิทันได้คะนึงว่า
จัณฑีผู้เป็นธิดารา-ชะมะคะธแหละจะกล้า
ออกอุบายพา-ละเช่นนั้น
โดยความหึงส์หนักเพราะรักครั้นคะดิประทะทุษะพลัน
พลุ่งประหนึ่งควันกระทบตา
สุดแสนคั่งแค้นฤดีว่าปิยะวะธุมะทะนา
นอกฤดีข้าก็ผิดใหญ่
บัดนี้ปรากฏบผิดใดสุปิยะชิวะประลัย
ข้าจะอยู่ไยณ โลกนี้ 
            
(ท้าวชัยเสนชักดาบออกและทำท่าจะแทงตัว, แต่นันทิวรรธนะรีบไปจับมือไว้ได้ทัน,และในขณะนั้นเองพูดต่อไปนี้.)
(อินทะวิเชียร, ๑๑)
นันทิวรรธนะ.อ้าเทวะโปรดเกล้ากรุณากะข้าที
ขอองค์พระเจ้าชี-วิตะรั้งพระทัยไว้
เหตุด้วยอะเรียกพละแสนยะเกรียงไกร
เกือบถึงพระเวียงชัยและตลอดวิถีมา
ได้ทำระส่ำปวงนรหวั่นณวิญญาณ์
ดังนี้แหละทวยนาคะระยังระริกรัว
หากรู้ว่ะเสียองค์ปิยะราชะทูนหัว
คงยิ่งจะเพิ่มกลัวภยะพาลพิบัติเบียน
ตราบใดพระเดชแผ่วรฉายะเหนือเศียร
ย่อมศานติจำเนียรเพราะพระบาระมีร่ม
ชีพตนและชีพญาติบมิห่วง ณ อารมณ์
ขอให้นโรดมวรชนมะยืนยัง
ไร้ปิ่นดิลกราชย์ละก็ชาติจะภินพัง
ไหนเลยจะคงตั้งอิศรานุภาพครอง
โลกเราสง่างามก็เพราะแสงตะวันส่อง
สิ้นแสงระวีต้องมละทั่วนะฉันใด
อันปวงประชาเปรมฤดิพึ่งพระเดชไท้
เดชดับก็มืดในฤดิหม่นละแน่นอน
ราตรีสว่างแจ้งก็เพราะแสงนิศากร
โกฏิดาวณอัมพรก็บเท่าพระจันทร์เดียว
อันว่าพระคุณเปรียบวรโสมะนั่นเทียว
ไร้นาถะข้าเหลียวจะประสบพระเจ้าไหน 
(อุเปนทะวิเชียร, ๑๑)
ชัยเสน.สดับวจีเจ้าฤก็เราสิเห็นไพ-
เราะแท้และจับใจเพราะว่ะเตือนฤดีจัง
เพราะเราคะนึงเห็ฯดนุผิดสิจึ่งคลั่ง
และแค้นหทัยตั้งจะประหารดนูเอง
บเคยจะมีผิดนิติธรรม ณ เมื่องเพรง
บเคยจะข่มเหงนระผู้บมีโทษ
ก็หลงอุบายเขาดนุเห็นว่ะตนโฉด
เพราะเชื่อณชนโหดก็ประหาระคนดี
อนงค์สุปรียามะทะนาสิเปรียบชี-
วะแห่งดนูนี้ฤก็สิ้นชิวาลัย
มโนดนูเปรียบดุจะเรือนและนางไซร้
ประดุจประทีบใช้ชวลิตณเคหา
และกูสิตกล่องละก็ซัดชวาลา
พิโรธและจับปาบมิทันจะใคร่ครวญ
ตะเกียงวินาศแล้วคะหะมืดสิจึ่งหวน
คะนึงว่ะไม่ควรจะทลายประทีปนั้น
ศุภางคะเสนีฤก็เคยสนิทกัน
ดนูก็ควรมั่นฤดิว่าสุภักดี
เพราะโกรธะครองใจดนุให้ประหารชี-
วะเพื่อนก็บัดนี้นะสิรู้ว่ะไร้ผิด
ศุภางคะเหมือนพาหะวิเศษะแรงฤทธิ์
ดนูสิปลดปลิดวรพาหะแห่งตน
อะโหจะหาเมียฤสุมิตระอีกหน
จะเหมือน ณ สองคนฤจะได้ณโลกา 
จะหามณีรัตน์รุจิเลิศก็อาจหา
เพราะมีวณิชค้าและดนูก็มั่งมี
ก็แต่จะหาซึ่งภริยาและมิตรดี
ผิทรัพยะมากมีก็บได้ประดุจใจ
แสวงเถอะจนสุดพสุธาสุราลัย
เมียใดและเพื่อนใดบมิเปรียบละของกู 
ฉะนี้สิจึ่งแสนทุขะมากบอยากอยู่
และนึกก็ชังตูเพราะว่ะโง่นะเหลือทน
สดับพจีเจ้านะสิเราสำนึกตน
และจำจะต้องทนทุขะเพื่อประโยชน์ราษฎร์
เพราะถึงจะโศกศัลย์กะระณีย์บควรขาด
เพราะขัตติโยชาติทุมะนัสก็กัดฟัน 
(สาลินี, ๑๑)
นันทิวรรธนะ.ข้าขอบังคมบาทสุรนาถะราชัน
จิตข้านี้โล่งพลันเพราะสดับพระวาจา
บัดนี้กราบทูลขอพระประทานอภัยข้า
ด้วยมีซึ่งกิจจาดนุสารภาพผิด
เมื่อคืนที่ตรัสสั่งดนุปลงพระชีวิต
เทวีผู้มิ่งมิตรมะทะนากะชู้ไซร้
ข้าพาทั้งสองถึงณ ประตูพระเวียงชัย
พบพราหมณ์มาแต่ไพรทิชะถามคดีพลัน
ข้าเล่าถี่ถ้วนจึ่งทิชะทูลกะแจ่มจันทร์
ขอเชิญสู่อารัณ-ยะกะพร้อมคณาชี
ข้าเห็นว่าโปรดให้ดนุปลงพระชีวี
นั้นคือว่าภูมีจะมิเลี้ยงพระนางไซร้
แม้ปล่อยให้เธอเข้าณ อรัณยะสูญไป
เหมือนสิ้นชีวาลัยเพราะก็คงบคืนมา
ข้าจึ่งได้กล่าวคำอนุญาตทิชาพา
เทวีเข้าสู่ป่าและบได้เผด็จชนม์
ชัยเสน.อันว่าหัวหน้าพราหมณ์คณะผู้จะเดินด้น
พานางสู่ไพรสณฑ์นะแหละรู้ฤชื่อไร ?
นันทิวรรธนะ.เขานั้นปรากฏนา-มะว่ะโสมะทัตไซร้
แลกล่าวว่าอยู่ในหิมะวันอรัญศรี
ชัยเสน.ขอบใจ, เจ้านี่เป็นวรเสวิยอดดี
เหมือนนำซึ่งวารีสิตะช่วยชโลมตู 
ดีใจที่รู้ว่ามะทะนานะยังอยู่
พอมีโอกาสกูและจะขอวราภัย
เมียรอดยังห่วงมิตรก็ศุภางคะนั้นไซร้
ได้ปลงชีวาลัยฤว่ะปล่อยประดุจกัน 
นันทิวรรธนะ.ข้อบอกแก่เสนีจะบปลงละชีวัน
เป็นแต่ให้เขานั้นมละเขตประเทศนี้
เขาตอบว่าเขานั่นฤดิมั่นณภักดี
ต้องห่างจากทรงศรีชิวะเขาบอยากครอง
ขอลาแลว่ามุ่งจระตรง ณ ที่กอง
ทัพหลวงด้วยใจปองฤดิแฝงระหัสอยู่
จนถึงเวลาที่จะประยุทธะต่อสู้
ศึกแล้วเขาเตรียมจู่จระรบศะตรูพาล
เพื่อตายในที่รบอริอย่างทหารหาญ
ข้าฟังนึกสงสารก็ประสาทะตามใจ
ครั้นถึงเวลายุทธดนุเห็นศุภางค์ไซร้
ออกนำหน้าพลไปและประยุทธะหน้าทัพ
เห็นพวกข้าศึกห้อมณ ศุภางคะเหลือนับ
ทั้งฟันทั้งแทงยับและศุภางคะล้มตาย
สมใจทีใฝ่มอบชีวะเป็นพะลีภาย
ใต้บาทแห่งฦาสายเพราะว่ะมั่นกตัญญู
ชัยเสน.เออกูค่อยคลายความทุขะทัพหทัยอยู่
เมื่อทราบมิตรของกูบมิเสียชิวีทราม
เป็นเชื้อชาตินักรบสละชีพ ณ สงคราม
นับว่าได้ตายงามดุจะนายทหารกล้า
อีกหนึ่งนั้นคือนางสุปริยัมวะทาภา
ได้ออกจากพาราจระสู่ประเทศไหน 
นันทิวรรธนะ.นางขอตามไปเพื่อนวรเทวิศรีใส
จึ่งพร้อมกันเดินไปณ ประเทศะอารัญ
(อุปชาติ, ๑๑)
ชัยเสน.ฉะนี้ก็กูพอจะประศาสน์และสั่งสรรพ์
ให้ถูก ณ ทางธรร-มะและสมกะโทษกรณ์
อันท้าวมคธยกพลก่อกะลีบร
เพราะเชื่อธิดารอนรณะปราศะธรรมา
และได้ปะราชิตขณะนี้ก็ตกมา
เป็นตัวเชลยข้าบมิควรจะปรานี
ให้โหระหาฤกษ์ดิถิงามและยามดี
จะทำพิธีศรีวรุดมประถมกรรม์
และปลงพระชนม์ท้าวมคะธาธิเบนทร์นั้น
รองเลือดชำระสรร-พะอุบัทว์ ณ บาทเรา
เอาเศียรอะรีใส่ณ ชะลอมและให้เจ้า
ธิดาและรับเอาศิระแห่งบิดาไซร้
และทูลกระบาลจากวรธานิกูไป
สู่แดนมคธให้นระเห็นและเป็นตัว
อย่างว่านรีคดและขบถประทุษผัว
ก็แพ้ณภัยตัวบมิได้เจริญนาน
และอีอะราลีทุรยศกะลีพาล
ให้เจ้าพนักงานนคราภิรักษ์พลัน
เฆี่ยนเสียเถอะสามยกและก็สักนลาฏมัน
และตัดจมูกกรรณนิระเทศะมันไป
วิทูรก็มีโทษเพราะว่ะรู้และเป็นใจ
แต่ว่าธชีได้สติสารภาพผิด
จนเราตระหนักเรื่องก็ฉะนี้แหละเราคิด
ธชีผิมีผิดฤก็ชอบประกอบมี
จะให้อภัยพราหมณ์และ ณ กาละต่อนี้
พราหมณ์จงประพฤติดีสุจริต ณ ไตรทวาร
จงมุ่งผดุงกิจตบะกรรมะเผาผลาญ
และข่มกิเลสมานมะนะแน่ว ณ พรหมา
(อุปัฏฐิตา, ๑๑ )
วิทูร.อ้าเทวะสุธรร-มิกะปรียะราชา
อันทรงกรุณาดนุผู้ประพฤติผิด
นี่คือพระแสดงสุรธรรมะโสภิต
มีแต่สุรฤท-ธิจะเทียบพระภูบาล
นึกว่าบมิรอดคุรุทัณฑะแรงราน
บัดนี้พระประทานพระอภัยกะข้านี้
เหมือนรดศิระด้วยสุรทิพยะวารี
ชุ่มชื่น ณ ฤดีดนุขอปฏิญญา
แต่นี่สละทั้งคหทรัพย์และออกป่า
เพื่อตั้งตะบะบา-รมิบ่มกุศลไว้
แน่แท้จะอุทิศผละบุญถวายไท้
ตอบแทนพระอภัยวรทาน ณ กาลนี้
ขอให้พระเสวยสุขะเพลินเจริญศรี
สมดังพระฤดีภยะแผ้วพระภูบาล
กิจใดพระประสง-คะก็จงประสิทธิ์ท่าน
การปวงประลุหานวรราชประสงค์สรรพ์
ลาภหลั่งบมิหยุดเถอะประดุจอุทกถั่น
ทรงชัยชะนะสรร-พะศะตรูบรู้แพ้
ขอให้วรศัก-ดิและฤทธิเรืองแผ่
ไพศาลประลุแค่สุระภูมิภาคบน
เป็นใหญ่ ณ ประเท-ศะมนุษย์ ณ สากล
ครอบครองนรชนจตุรางคะวรรณา
ขอทวยสุรฤท-ธิประสิทธิ์พระพรมา
พร้อมดังพะจิข้าวรบาทถวายพร
            
(พราหมณ์วิทูรถวายบังคมท้าวชัยเสนแล้วคลานถอยไปเข้าโรงทางขวา.)
ชัยเสน.แน่ะนันทิวรรธน์เตรียมพละเสนิกากร
จะไปพนาดรและจะรับพระนงคราญ
และสั่ง ณ วังเตรียมวรสีวิกากาญจน์
สนมพนักงานสะขิสรรพประดับศักดิ์
ดนูจะไปยังกุฏิที่มุนีพัก
และรับวธูรักจระกลับ ณ เวียงชัย
ณ ฝ่ายนครหลวงก็ประดับประดาไว้
เพราะกลับ ณ เมื่อใดก็จะมีพิธีการ
ภิเษกพระนางเจ้ามะทะนาสมุนมาลย์
วิสุทธินงคราญอรเอกมเหสี
อนึ่งศุภางค์ผู้ศุภะมิตระยอดดี
ก็ควรจะเผาผีและสนองคุณานันต์
ผิศพศุภางค์ยังบมิสูญก็จงพลัน
ประดิษฐะเชิงชั้นวรจิตระกาธาร
และเผาสุมิตรแล้วละก็แห่วะรางคาร
ณ ฝั่งมหาธารยะมุนานทีศรี
ก็คงจะล้างมลทินะโทษประดามี
และโทมะนัสที่ฤดิกูจะค่อยเบา
สุมิตระคนนั้นนะก็ดุจอะนุชเรา
ฉะนั้นนะตัวเจ้าแหละประจงณการศพ
มิให้อะไรขาดเพราะว่ะปราศะเคารพ
นันทิวรรธนะ.ดำรัสพระทรงภพดนุนี้จะทำตาม
            
(ท้าวชัยเสนเข้าโรงทางช่องกลาง, และมหาดเล็กคลานตามเข้าโรงทางนั้นด้วย. ส่วนนันทิวรรธนะเข้าโรงทางขวา.)

(ระหว่างเปลี่ยนฉากพิณพาทย์ทำเพลงพญาโศก)

ตอนที่ ๒

กลางป่าหิมะวัน
[นี้คือฉากเดียวกับฉากตอนที่ ๑ องก์ที่ ๒ นั่นเอง ผิดแต่ในตอนนี้มิได้มีต้นกุหลาบเท่านั้น.]
(มัทนานั่งอยู่บนตอไม้ ปริยัมวะทานั่งอยู่กับพื้นข้างตอไม้ มีนางสาวใช้อีก ๒ คนนั่งอยู่ห่าง ๆ ทางด้านขวาแห่งเวที และมีพวกบริวารของพระกาละทรรศิน กำลังขนฟืนมากองที่กลางเวที. เตรียมสำหรับจุด ศุนเป็นผู้กำกับพวกบริวารให้ ขนฟืนและจัดเครื่องพลีในระหว่างเวลาที่ปริยัมวะทากับมัทนาพูดกันต่อไปนี้.)
(ภุชงคัปปะยาตร์, ๑๒.)
ปริยัมวะทา.พระแม่เพียรพะลีมาก็สัปดาหะล่วงสาม
มิเห็นว่าจะสมความประสงค์ดังดำรัสไว้
กระหม่อมฉันจะทูลสา-ระภาพตรง ณ จริงใจ
กระหม่อมฉันมิอยากให้พะลีนี้ประสิทธิ์ผล
เพราะหากว่าพะลีเสร็จเสด็จกลับ ณ เบื้องบน
กระหม่อมฉันจะต้องทนระทมทุกขะหงอยเหงา
เพราะทุกวารก็บานใจและรับใช้พระแม่เจ้า
บำเรอบาทะค่ำเช้าบเคยคลาดและคลาไกล
พระแม่โปรดกระหม่อมฉันก็อย่าพลันเสด็จไป
จะทรงทิ้งสะขีให้อนาถโอ้บสงสาร
มัทนา.อ๊ะปรียัมวะทานางจะหมองหมางมิเข้าการ
มิใช่ฉันสงสารฤชิงชังนะหล่อนเอ๋ย
เพราะตั้งแต่ดนูไปณ กรุงไกรก็ทรามเชย
บำเรอจิตสนิทเคยประจบดีบเว้นวัน
และเห็นแล้วละรักจริงผิจำทิ้งก็ตัวฉัน
จะเสียใจและโศกศัลย์มิน้อยแน่ละโฉมตรู
ผิเทวาธเกื้อกูลจะลองทูลและถามดู
ผิพานางนะไปอยู่กะข้าได้จะพาไป
ปริยัมวะทา.พระแม่เจ้าเสด็จสู่พิภพสวรรค์ ณ ชั้นใด
ก็อยากตามเสด็จไปบำเรอบาทบคลาดคลา
            
(บัดนี้ศุนมารายงานกับปริยัมวะทาว่าพร้อมแล้ว, มัทนาจึ่งลุกจากตอไม้ไปนั่งที่หน้ากองฟืนและก่อไฟ. คนอื่นนั่งในที่อันควร. มัทนาจุดไฟเสร็จแล้วกล่าวคำวอนเทวดา.)
(รโธทฺธตา, ๑๑)
มัทนา.ข้าประณมกะระกระพุมประชุมนะเขา
ไหว้สุเทษณ์วระมหามหิทธิบูรณ์
เชิญสดับสุวระพจน์ประณตทำนูล
วอนพระองคะอนุกูลและเมตตะด้วย
ยามดนูสิทุขะจัดธตรัสจะช่วย
โดยพระมุ่งกรุณะอวยพระพรประทาน
ข้าพระบาทฤทุขะมีฤดีจะราน
เทวะโปรดและอุปะการจะสิทธิผล
เมตตะธรรมะนะสิจุนและหนุนสกล
ช่วยผดุงนิกะระชนประโลมฤดี
เชิญเสด็จอะมะระมาณ วาระนี้
รับเสวยวระพลีดนูถวาย
โดยดนูทุกขะวิโยคและโชคก็หาย
อยากจะใคร่ชิวะมลายบ่ทนและทุกข์
อยู่ก็โศกะจะทวีบมีสนุก
สามิทิ้งฤวะจะสุขฤมีเจริญ
            
                  (ตักน้ำมันเนยหยอดที่กองไฟ, แล้วกล่าวต่อไป.)
         อ้าสุเทษณ์ผิกรุณาก็ข้าสิเชิญ
ล่องนะภาพระรและเหินระเห็จและมา
โปรดเถอะองค์อะมะระรับสดับวะทา
ข้าพระบาทมะทะนาจะทูลอะมร 
            
(พิณพาทย์ทำเพลิงตระเชิญ. พอถึงรัวท้ายตระ เมฆด้านหลังเวทีแหวกออกและสุเทษณ์ลอยอยู่ในระหว่างเมฆ, แต่สมมติว่าไม่มีใครเห็นนอกจากมัทนา.)
(สวาคตา, ๑๑)
สุเทษณ์.ข้าสดับสุมะทะนาวจะว่าวอน
ใจก็นึกกรุณะหล่อนฤดิสงสาร
เล็งก็รู้ณพะหุเหตทุขะเภทพาล
ใคร่จะช่วยและอุปะการยุวะนารี
หากว่ะโฉมศุภะอนงค์จะประสงค์ลี
ลาณแดนสุระวะดีก็จะพาไป
เพื่อถนอมวระวธูดุจะคู่ใจ
เป็นมเหสีอรไทก็จะแสนสุข
ข้าจะเลี้ยงสะมระรัตน์และขจัดทุกข์
ชวนภิรมย์ระติสนุกบมิเว้นวัน
ข้าจะหาสุระนะรียุวะดีสวรรค์
เป็นสะขีคณะกำนัลปฏิบัตินาง
ทุกทิวาจะบมิต้องฤดิหมองหมาง
นั่งสดับสุดุริยาง-คะประเลงนิตย์
ในสุราละยะวิมานจะสราญจิต
แนบดนูมะนะสนิทและสิเนหา
คงบ่ทำกะมละหมองชละนองตา
เช่นพระองคะนรสา-มิกระทำแล้ว 
เชิญนะรีระตะนะมิ่งมณิยิ่งแก้ว
ไปกะข้าละก็จะแคล้วภยะด้วยพลัน
เชิญนะรีสิริสำรวยจระด้วยกัน
สู่พิภพอะมระสวรรค์เถอะจะว่าไร 
            
(มัทนาก้มหน้านิ่งนึกอยู่สักครู่ ๑ ก่อน แล้วจึ่งคลานเข้าไปทางด้านหลังและยกมือไหว้ แล้วทูลตอบอย่างฉาดฉาน.)
(รโรทฺธตา, ๑๑)
มัทนา.ฟังพระวาทะวรศัพท์ก็จับฤทัย
เห็นพระทรงกรุณะไซร้บจืดบจาง
ข้าจะทูลนะฤก็ยากบอยากจะพราง
แต่มิทูลอะมระทางก็คงมิโปรด
ข้าพระบาทะฤก็เขลาและเฉาและโฉด
คงมิพ้นสุระพิโรธและโทษะกร
ข้าเฉลยพระมธุรสสุราดิศร
ได้ก็ดังประดุจะก่อนณ ภูมิสรรค์
อันจะทรงพระกรุณาณ ข้าฉะนั้น
เป็นพระคุณดนุจะพรร-ณะนาบได้
หากจะมีวิถิถนัดบขัดหทัย
ทั้งจะใช้ ณ ธุระใดบมีระอา
แต่จะโปรดดะนุและให้คระไลนภา
เป็นพระบาทะบริจา-ริกาฉะนี้
เกรงจะผิดพระนิติธรรม-มะอันนารี
เสพย์กะสองบุรุษมีฤใครจะชม 
อันพระองค์อะมระเศรษ-ฐะเดชอุดม
จึ่งมิควรจะอภิรม-ยะนาริทราม
ข้าทำนูลวะจะนะตรงดำรง ณ ความ
สัตยะธรรมะคะติงามนะเทวะไท 
(สวาคตา, ๑๑)
สุเทษณ์.พูดพิกลละมะทะนาก็จะว่าไร 
ชวน ณ สรวงก็บมิไปบมิจงจินต์
หล่อนจะคงกะมละแค้นและ ณ แดนดิน
อยู่จะแสนทุขะยุพินก็จะขืนอยู่
อันจะช่วยธุระยุพาฤก็ข้าดู
ไร้วิถีและก็ดะนูจะประสาทใด
จึงจะสมวรประสง-คะอะนงค์ได้ 
จงเฉลยวะจะนะให้ดนุรู้ที
(รโธทฺธตา, ๑๑.)
มัทนา.ใดจะพึงกะมละกว่าพระสามิที่
เป็นวราภะระณะศรีณเกศถกล
ข้าก็ขออะมระฤทธิ์ประสิทธิผล
ช่วยประสาทะสุขะดลหทัยถนัด
แห่งพระวีระชยะเสนนเรนทะรัตน์
ให้พระจากนะคะรหัส-ตินาและมา
รับดนูจระ ณ ขัณฑ์ฉะนั้นแหละข้า
โลกจะส่างและมะทะนาจะเปรมหทัย 
(สวาคตา,๑๑.)
สุเทษณ์.ผัวก็ทิ้งและบมิหวงวธุห่วงได้
ที่ดะนูวธุไฉนบมิยอมรัก 
ข้าจะวอนสุปิยะรัตน์ก็สะบัดพักตร์
ราวกะทรามและทุระลักษณ์บมิมีดี
ข้าจะกล่าววะจะนะจังละนะครั้งนี้
คือผินางจะบมิมีมะนะรักไซร้
ข้าจะมีฤดิประนอมฤจะยอมให้
หล่อนนะรักบุรุษะใดนะฤอย่าคิด
เมื่อดนูจะบมิสมอภิรมย์จิต
จักมิยอมบุรุษะชิดมะทะนาแล้ว
จำจะลาละปิยะนาฏเพราะจะคลาดแคล้ว
คงมิเห็นสุวะธุแก้วมณิกลอยตา
แต่ ณ กาละทิวะนี้วนิดาภา
เป็นสุกุพชะกะผะกาบมิเปลี่ยนเลย
เพื่อประกันบุรุษะอื่นบมิชื่นเชย
โฉมอนงค์ดรุณิเอยวจะข้าขลัง
สาปก็จักอจิระสิท-ธิสะมิทธิ์ดัง
ข้าประกาศวะจะนะสั่งนะสดับดี
กลายเถอะร่างสุมะทะนาดุจะมาลี
เป็นสุกุพชะกะฉะนี้เถอะนิรันดร 
            
(พิณพาทย์ทำเพลงรัวสามลา. มัทนาฟุบตัวก้มหน้าลงและนิ่งไปเหมือนตาย, แล้วค่อย ๆ กลายเป็นต้นกุหลายอย่างเช่นที่เห็นในต้นองก์ที่ ๒ สุเทษณ์ดูอยู่จนนางกลายเป็นกุหลาบไปแล้วก็หายไปในกลีบเมฆ, คนอื่น ๆ จ้องดูมัทนาอยู่ด้วยความประหลาดใจอย่างมิรู้ทางเหนือทางใต้ จนจบเพลงจึ่งต่างคนต่างสะกิดกันและพูดกันซุบซิบ, เว้นแต่ปริยัมวะทาวิ่งเข้าไปที่ต้นกุหลาบ และกล่าวคำครวญ)
(ปิยวทา, ๑๒)
ปริยัมวะทา.ทุขะอะโหพระมะทะนาพระมาตุวร
พระจะมลายพระชิวะจรพระแม่ไฉน
บมิดำรัสวะจะนะชวนพระด่วนคระไล
พระมละทิ้งดะนุพิไรพิลาปอนันต์
พระวรคุณอดุละครองและป้องและกัน
ดนุฉะนี้ฤจะมิศัลยะเศร้าอุรา
ก็ผิวะรู้ ณ คติขำปริยัมวะทา
ฤจะมิตามพระวรมา-ตะวายชิวาตม์ 
พระปิยะเทวิจระไปก็ใจจะขาด
ผิวะจะตามยุคะละบาทมิขัดและขวาง
จะติระตามบะทะดำเนินบเหินบห่าง
และประติบัติประดุจะอย่างอดีตะกาล
ชะชะพระมัจจุฤกระไรหทัยธพาล
ก็ดนุนี้สิมิประหารประหารพระแม่
ทุขะระทมกะมละเปลี่ยวจะเหลียวจะแล
ก็บประสบสุขะ ณ แดจะพึ่ง ณ ใคร 
พระปิยะมาตุจระดั้นณ สรรคะใด
ดนุจะขอจะริกะไปณ กาละนี้ 
            
(พิณพาทย์ทำเพลงโอด ; ปริยัมวะทาร้องไห้สะอึกสะอื้น.. พอจบหน้าพาทย์ก็พอพระกาละทรรศินเดินนำเสด็จท้าวชัยเสนออกมาทางซ้าย นันทิวรรธนะ, โสมะทัต และนายทหารตามออกมาด้วย. ในชั้นต้นผู้ที่มาใหม่ยังไม่มีใครเห็นต้นกุหลาบ.)
(ฉบงง, ๑๖)
ชัยเสน.เอ๊ะ ! พระคุณว่าเทวีเธออยู่แห่งนี้
แต่บเห็นทรามวัย
กาละทรรศิน.เทวีตั้งแต่มาไพรทุกสัปดาห์ได้
เสด็จ ณ แดนดงนี้
เพื่อทรงทำกิจพลีนี่กองอัคคี
ยังอยู่เพื่อเป็นพยาน
เธอว่าจะกิบยัญญะการวอนเทพพิศาล
ขอให้อำนวยพรศรี
            
(ระหว่างนี้โสมะทัตได้แลเห็นต้นกุหลาบแล้ว จึ่งเข้าไปไหว้อาจารย์และพูด.)
โสมะทัต.ข้าขอโอกาสมุนี !โปรดดูทางนี้ (ชี้ต้นกุหลาบ.)
กาละทรรศิน.(เหลียวไป, พูดอย่างตกใจ.)
อะโห ! เรามาช้าไป 
ชัยเสน.เอ๊ะก็นั่นนารีใดซบตัวร้องไห้
อยู่ที่ข้างพุ่มพฤกษา 
กาละทรรศิน.นั่นคือปริยัมวะทานารีที่มา
พร้อมกับพระราชเทวี
ชัยเสน.ปริยัมวะทานารีข้าขอโทษที
เชิญเจ้ามาหาข้าเถิด 
            
(ปริยัมวะทาคลานมากราบท้าวชัยเสน.)
จงเล่าให้เราว่าเกิดเหตุใดโฉมเฉิด
จึ่งได้โศกาอาดูร
ปริยัมวะทา.เรื่องที่หม่อมฉันจะทูลองค์นเรนทร์สูร
คงแทบมิทรงเชื่อได้
ชัยเสน.เอาเถิดแถลงเรื่องไปอันเรานี้ไซร้
จะเชื่อจะฟังบังอร
(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ปริยัมวะทา.ตั้งแต่พระเทวีมะทะนาเสด็จจร
มาสู่พระนาดรพระฤดีบมีสุข
เฝ้าแต่จะทรงศัล-ยะกำสรวลและครวญขุก
เข็ญมีทวีทุกทิวะราตริโศกา
จึ่งทรงพระปรารภพะลิบวงสุเทวา
ทุกเสาร์เสด็จมาวนะถิ่นสนามนี้
ก่ออัคคิขึ้นแล้วละก็กล่าวพระวาที
ทูลเทวะนามมีพระสุเทษณ์วิเศษฤทธิ์
ขอให้เสด็จมาและประทานพระพรสิทธิ์
ขอให้ธปลดปลิดทุขะท่วม ณ วิญญาณ์
ได้ตั้งพะลีกรรมะ ณ สามสุสัปดาห์
แต่ยังบเห็นปรา-กฎผล ณการยัญ
จนมา ณ ครานี้สิประเดิมพะลีกรรม์
ไม่ช้าก็หม่อมฉันนะสิเห็นพิกลนัก
คือเห็นพระแม่เธอนะชะเง้อและแหงนพักตร์
สู่ฟ้าประดุจจักจะทำนูลกะเทพไท
หม่อมฉันชะเง้อบ้างก็บเห็นว่ะมีใคร
แต่องค์พระแม่ไซร้ธประพฤติประดุจเห็น
ทั้งเงี่ยพระโสตฟังวะจะดังจะยินเจน
แล้วตรัสเฉลยเป็นคติถ้อยกระทงความ
ข้าจำกระแสได้และจะขอพยายาม
ทูลเล่าแถลงตามวรพจน์พระแม่ว่า
(รโธทฺธตา, ๑๑.)
“อันจะโปรดดะนุและให้คระไลนภา
“เป็นพระบาทะบริจา-ริกาฉะนี้
“เกรงจะผิดพระนิติธรรม-มะอันนารี
“เสพย์กะสองบุรุษมีฤใครจะชม 
“อันพระองค์อะมระเศรษ-ฐะเดชอุดม
“จึ่งมิควรจะอภิรม-ยะนาริทราม
“ข้าทำนูลวะจะนะตรงดำรง ณ ความ
“สัตยะธรรมะคะติงามนะเทวะไท ”
(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ชัยเสน.อ้อ ! คือสุเทษณ์กล่าววะทะชวนจะพาไป
ยังฟ้าสุราลัยผิวะยอมสิเนหา
แต่นางมิยินยิมจะประนอมกะเทวา 
เรื่องเดิมนะตูข้าฤก็รู้อยู่แล้วดี
ปรียัมวะทาจงอภิปรายะอีกที
ต่อจากตะกี้นี้เพราะว่ะยังมิจบลง
ปริยัมวะทา.ต่อนั้นก็ได้เห็นวรเทวินั่งตรง
ดูท่าประหนึ่งม่งมนะฟังพระบัญชา
แห่งเทวะผู้เผยพะจะจาก ณ ฟากฟ้า
แล้วจึ่งพระมาตาธอุวาทะดังนี้
(รโธทฺธตา, ๑๑.)
“ใดจะพึงกะมละกว่าพระสามิที่
“เป็นวราภะระณะศรีณเกศถกล
“ข้าก็ขออะมระฤทธิ์ประสิทธิผล
“ช่วยประสาทะสุขะดลหทัยถนัด
“แห่งพระวีระชยะเสนนเรนทะรัตน์
“ให้พระจากนะคะรหัส-ตินาและมา
“รับดะตูจระ ณ ขัณฑ์ฉะนั้นแหละข้า
“โศกจะสร่างและมะทะนาจะเปรมหทัย 
(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
พอตรัสฉะนี้แล้วดะนุเห็นพระแม่ไซร้
คงตั้งพระเนตรไปณ นภา และข้าดู
อีกหน่อยก็สังเกตทุรเหตุพิกลอยู่
โดยพักตระโฉมตรูนะสิซีดบสดแดง
แล้วมีสำเนียงมาดุจะพายุพัดแรง
อึงอล ณ หนแห่งกละเมทินิไหล
ครั้นเมื่อสงบพา-ยุคะนองสิมองไป
เห็นองค์พระแม่ไซร้ธระทมและล้มนอน
แล้วเห็นประหลาดมีวรบุบผะงามงอน
แทนองค์พระมารดรดุจะเห็น ณ แห่งนั้น
(ปิยฺวทา, ๑๒.)
ดนุก็แสนกมละโศกวิโยคและศัลย์
เพราะบมิรู้และบมิทันจะเตรียมหทัย
ผิดนุรู้ระหสะความจะตามพระไป
และประติบัติพระอรไทบคิดระอา
เพราะดนุรักปิยะนะรีฉะนี้และถ้า
ชีวะดนูจะมระณาบหวงบแหน
พระปิยะมาตุพระเสด็จประเวศ ณ แมน
ดนุจะมีสุขะ ณ แดนมนุษย์ไฉน 
            
(ปริยัมวะทาซบหน้าลงร้องไห้.. ท้าวชัยเสนก็ให้ด้วย, และแข็งใจดับโศกและพูด.)
(อินทวงส์, ๑๒.)
ชัยเสน.ฟังนางแถลงเหตุภยะเภทะจับหทัย
เห็นเป็นพยานไซร้มะทะนาวิเศษแท้
ด้วยหล่อนสิจงรักมนะภักดิสุดละแม้
เทวันธชวนแม่บมิยอมประนอมฤดิ
หานาริรัตน์ไหนณ ประเทศะเมทินี
เปรียบมิ่งมเหสีดนุได้นะสุดจะหา 
แม้รอประเดี๋ยวเดียวฤก็ผัวก็คงจะมา
ทันพบและแก้วตานะก็คงบร้อนกมล
เป็นกรรมกระทำไว้ณ อดีตประสิทธิผล
ผัวจึ่งมิทันยลวระพักตร์สุลักษะณา
ถึงแม่จะเป็นกุพชะกะแล้วก็ช่างเถอะข้า
ขอนำสุมาลาณ นครทะนุถนอม
จักจัดคณานางสะขิภักดิแวดและล้อม
ทั้งมีทหารพร้อมจระตั้งกระบวนคละไล
ถึงเวียงจะตั้งการสุรยัญพิเศษพิสัย
ป่าวร้องประกาศให้มรุอีกมนุษย์นิการ
รู้เรื่องประเทืองเทิดวระเกียรติสายสมร
เทวานะรากรก็จะพร้อมและโมทนา
อีกเราจะรับตัววระนาฎปริยัมวะทา
กลับคืนพระพาราและจะเลี้ยงประดุจณเดิม
ให้สมกะที่ซื่อสุจริตคุณาเฉลิม
ยศศักดิส่งเสริมและดนูจะขออภัย
ที่ได้กระทำโทษวธุผิดสุธรรมะไซร้
คงตอบและแทนให้สุขะศานต์สราญทวี
ปริยัมวะทา.หม่อมฉันก็เป็นข้าวระบาทพระภูบดี
แต่น้อยบเคยมีวระนาถะอื่นฤไกล
เมื่อทรงพระการุณ-ยะก็ข้าสราญหทัย
ชีวิตถวายไว้ณธุลีพระบาทยุคล
(ฉบงง, ๑๖.)
ชัยเสน.มุนีข้าขออีกหนจงช่วยด้วยมนตร์
ให้ข้าได้สมจินดา
ช่วยกล่าวปิยะวาจาให้มะทะนา
ยอมไปนครหัสดิน
กาละทรรศิน.อันอาตะมะก็ยิน-ดีช่วยนรินทร์
เพื่อให้ธสมประสงค์
เพราะเชื่ออยู่ว่าธคงเต็มหทัยทรง
บำรุงซึ่งมิ่งไม้นี้
และถ้าอยู่กรุงจะดีกว่าคงอยู่ที่
ณ กลางอรัญกันดาร
โปรดสั่งให้เขาเตรียมการขุดรุกขะมาลย์
เพราะเชื่อว่าคงยอมไป
            
(ท้าวชัยเสนสั่งนันทิวรรธนะให้เตรียมเครื่องมือ ฝ่ายพระกาละทรรศินไปที่ต้นกุหลาบ และพูดกับต้นไม้นั้น.)
(มันทักกันตา, ๑๗.)
กาละทรรศิน.อ้าโฉมฉายสายสะมะระมะทะนา
ฟังบิดาว่าเถอะทรามวัย
อันองค์สมเด็จพระนรปะติไซร้
ท่านจะรับไปณ เขตขัณฑ์
ลูกเคยมุ่งภักดิ ณ ปะระมะธรร-
มาธิราชัน-ยะสามี
ท่านตามมาจากวระสุระบุรี
โดยกะมลที่สิเนหา
หากลูกยอมไปละก็วระสุดา
คงจะได้สา-ระพัดสุข
ไปอยู่เวียงเนียงฤก็จะบมิทุกข์
ปราศะเข็ญขุกและปลอดภัย
ภูมีดีกว่าอะมระเพราะหทัย
ท่านสิรักใคร่สุนารี
พ่อแลเห็นปรากะฏะฤดิฉะนี้
จึ่งมอบศรีสุดาอร
แด่องค์สมเด็จปะระมะอดิศร
แล้วจะได้นอนละตาหลับ
อ้าลูกน้อยกลอยฤดิบิตุระรับ
เชิญเถอะงามสรรพสุมาลี 
            
(พระกาละทรรศิน เรียกสังข์มาหลั่งน้ำที่โคนต้นกุหลาบ, แล้วทูลเชิญท้าวชัยเสนให้ตรัสชวนเอง. ท้าวชัยเสนจึ่งไปกล่าวคำขวนดังต่อไปนี้.)
(อีสิสะ, ๒๐.)
ชัยเสน.อ้าวะธูดะนูนะทุกข์ทวี
เพราะแสนจะโศกวิโยคสุปรี-ยะอย่าแหนง
พี่สิผิดเพราะจิตวิโรธะแรง
อุบายะชั่วบรู้บแจ้งสิจึ่งหลง
ยามตระหนักสิชักจะบ้าจะปลง
ประหารชิวีบมีประสงค์จะคงอยู่
แต่เผอิญสุเสวิเตือนดะนู
ฉะนั้นสิจึ่งสำนึกนะตูบวางวาย
เสด็จประยุทธะสมนิยมก็หมาย
และมุ่งฤดีจะรับพระสายสมรพลัน
จากพนาและคืน ณ เขตตะขัณฑ์
และมุ่งจะเสกสุนารินัน-ทะนาภา
เป็นพระอัคคะราชินีมหา
สุมาตุแห่งนิกรประชาณ หัสดิน
โอ้เผอิญก็มามิพบยุพิน
กระนั้นนะข้าซิยังถวิลจะรับไป
จึ่งจะเชิญสุกุพชะกาวิไล
แหละแทนอนงคะจงคระไลยเถอะพฤกษา
ข้าจะรับประทับ ณ สีวิกา
และพร้อมกระบวนจะแห่ ณ ธา-นิรังสรรค์
ถึงบุรีจะได้เฉลิมพระขวัญ
จะเปรอมิให้อนาถ ณ วันฤราตรี
เชิญเถอะแม่ดนูเชิญนะมารศรี
เสด็จเถอะอย่าระคายฤดีดนูวอน 
            
(ท้าวชัยเสน เรียกสังข์หลั่งน้ำที่โคนต้นกุหลาบ, แล้วให้คนขุดก็ขุดได้โดยสะดวก. นันทิวรรธนะก็เรียกวอทองออกมา, และให้ยกต้นกุหลบขึ้นบนวอ.)
(ฉบงง, ๑๖.)
ชัยเสน.ก่อนที่ตูข้าจะจรข้าขอรับพร
จากองค์มุนีทรงญาณ
จงโปรดอำนวยเถิดท่านเพื่อช่วยให้การ
เดินกลับเป็นไปได้ดี
อีกเมื่อไปถึงธานีขอให้มาลี
อยู่ดีบได้โรยรา
และให้ดำรงคงกว่าชีวิตของข้า
จะถึง ณ อายุขัย
            
(กุสุมิตลตา, ๑๘.)
กาละทรรศิน.ข้าขอให้เทพองค์อะธิปะติณไตร-
ตรึงษะโปรดให้พระพรสิทธิ์
แด่องค์สมเด็จราชะปะระมะบพิตร
เรืองมหาฤท-ธิเดชา
มีชัยในการยุทธะและบมิปะรา-
ชัย ณ ทั่วหล้าสกลขาม
ขอจงทรงสวัสดีนิจจะสุขะอภิราม
รมยะทุกยามบเสื่อมซา
หนึ่งอวยพรให้กุพชะกะสุระผกา
คงดิลกหล้าบสูญพรรณ
เป็นสิ่งชวนยวนจิตตะนระสุวะคันธ์
ช่วยระงับสรร-พะทุกข์หนัก
หญิงชายยามเริ่มรู้ระสะณฤดิรัก
ใช้กุหลาบจักระเริงใจ
อันดวงมาลีกุพชะกะสิผิวะให้
พึงจะรู้ได้ว่ารักแท้
และยามดมดอกกุพชะกะนะก็จะแก้
เดือด ณ ดวงแดและสุขพลัน
ขอมาลีศรีกุพชะกะสิริสุคันธ์
จงประดิษฐ์พรรณนิรันดร 
            
(ท้าวชัยเสนคุกเข่าลงไว้รับพรพระฤษี, แล้วให้ตั้งกระบวนแห่วอทรงต้นกุหลาบ, องค์เองเดินนำหน้าวอ. พิณพาทย์ทำเพลงกลอนโยน, กระบวนแห่เดินผ่านจากหลืบขวาเลยไปเข้าโรงทางหลืบซ้าย.)


(ปิดม่าน)